Thursday, December 17, 2009

Controversial Marketing การตลาดแบบคาบลูกคาบดอก โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ


Controversial Marketing การตลาดแบบคาบลูกคาบดอก

ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่่ นักการตลาดในต่างประเทศนิยมใช้ เพราะ ถ้าประสบความสำเร็จก็จะดังได้ชั่วพริบตา สำหรับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ตัวนั้น แต่หากไม่ประสบความสำเร็จสินค้านั้นก็จอดแบบไม่ต้องแจว แถมพ่วงให้ธุริกจนั้นติดลบไปด้วย

การตลาดแบบคาบลูกคาบดอก หมายถึงการทำตลาดสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่เน้นการโฆษณาผลิตภัณฑ์ หรือส่งเสริมการขายในลักษณะที่ ไม่ขาวก็ดำ ไม่ชอบก็เกียจ หรือ ดีกับเลว ให้สังคมหรือผู้บริโภคตัดสินเอาเอง

1.กรณีตัวอย่าง ชัดเจนใน -กรณีของลูกเกด ซึ่งชอบทำ "การตลาดในแนวคาบลูกคาบดอก หรือ Controversial marketing" ซึ่งถ้าทุกท่านที่สนใจลูกเกด คงจะจำได้ว่า ตอนที่ลูกเกดโฆษณาผลิตภัณฑ์สบู่อาบน้ำยี่ห้อหนึ่ง โดยการขึ้นรถ แล้วอาบน้ำ ให้เห็นบางส่วน พร้อมการตะเวนไปตามถนนหลัก แถวสยามสแควร์ จนที่"ที่ฮือฮาทั้งเมือง ( Talk of the Town)" เป็นหัวข้อที่ทุกคนพูดถึง ลูกเกด และ ผลิตภัณฑ์ แต่ จริง ๆ คนวิจารณ์ว่า ผิดกฎหมายอนาจารหรือไม่

นั่นคือตัวอย่างที่นักการตลาดยำจำกันได้ ซึ่ง Case ดังกล่าว ไม่ติดลบแต่เป็นบวกกับลูกเกด มาก ๆ

2. กรณี ของ Leo กับ ปฏิทินบอดี้เพนท์ ซึ่งคงไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น การตลาดแบบคาบลูกคาบดอก บังเอิญ สังคมกระแสต่อต้านเหล้า-เบียร์มาแรง และมีนักวิชาการสายนิเทศศาสตร์ ใช้โอกาสนี้สร้างชื่อผสมแบบ On Top Promotion มาด้วย จึงเข้าทาง Controversial marketing พอดี

*ภาพบวกที่ได้มีอะไร
- หากวิเคราะห์แบบตื้น ๆ ก็บอกว่า Leo ได้การโฆษณาฟรีไม่เสียเงิน เป็นร้อยล้านตาม นัก นสพ.บางฉบับ เพราะได้เป็น" Talk of the Town"
แต่ถ้าค่ายเบียร์ยีห้อนี้วิเคราะห์ให้ลึก ไม่ได้แน่นอนแถมติดลบกับกลุ่ม สธ. และ เครือข่ายต่อต้านเหล้า-เบียร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายทางสังคมที่ ไม่อาจประเมินต่ำไปได้
-ลูกเกด ได้ positioning ที่ชัดเจน ในการเป็น presenter การตลาดแบบคาบลูกคาบดอก

*ภาพลบมีไหม
-ชัดเจนกระทบค่ายเบียร์นี้ทั้งกลุ่ม ในแง่ติดลบกับสังคม และโดยเฉพาะ เรื่อง CSR & Good Governance
-ต้องเสียเงินอีก หลาย 100 ล้านในการดึงภาพค่ายเบียร์กลุ่มนี้กลับมา และไม่แน่ใจว่าจะบวกได้หรือไม่
-เปิดเป็นโอกาสให้คู่แข่ง ได้คะแนนทางบวกโดยไม่ต้องทำโฆษณาอะไรเลย แค่ชูภาพ รักษ์โลก ไม่ทำให้โลกร้อนก็ลอยรำไปไกลหลายน่านน้ำ
-สำหรับผู้ที่วาดเส้นทางอนาคตในด้านการเมืองไว้ ปฏิทินลูกเกด 2010 นี้ เท่ากับเป็นการเปิดบาดแผลให้คู่แข่งทางการเมืองได้ เลือกตี่ ได้ตลอดเส้นทางชีวิตการเมือง และไม่อาจปิดบาดแผลนี้ได้ และข่าวล่าสุดก็ได้ปิดเส้นทางการเมืองด้วยการลาออกไปแล้วเมื่อ 17 ธ.ค.52 นี้เอง

นี่คือตัวอย่างของ การตลาดแบบคาบลูกคาบดอก หรือ Controversial marketing ที่ทำแล้วไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะไม่รู้ว่าสังคมจะตอบรับแบบไหน ถ้าออกหัวก็ เฮ บังเอิญออกก้อย ก็เกม

ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อ ปฏิทินLeo ของสวนดุสิตโพล


สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ ปริมณฑลที่มีต่อ การจัดทำปฏิทินดังกล่าว จำนวนทั้งสิ้น 1,160 คน ระหว่างวันที่ 16-17 ธันวาคม 2552 สรุปผลได้ดังนี้
1. ความคิดเห็นของประชาชน กรณี ที่บริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น จัดทำปฏิทินวาบหวิวเพื่อแจกให้กับประชาชนที่ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่
อันดับ 1เป็นกลยุทธ์ด้านการตลาดของบริษัท 31.14%
อันดับ 2เป็นการสมนาคุณให้กับลูกค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปี21.31%
อันดับ 3ไม่สมควรจัดทำออกมาในลักษณะนี้เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และมีวัฒนธรรมอันดีงาม16.39%
อันดับ 4เป็นการยั่วยุทางอารมณ์ อาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา13.11%
อันดับ 5ควรเปลี่ยนรูปแบบสิ่งของที่ต้องการแจกให้กับลูกค้าเป็นอย่างอื่นแทน11.47%
อื่นๆเช่น ทำให้เยาวชนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ,เป็นการสร้างค่านิยมที่ผิด ฯลฯ 6.58%
2. ประชาชนมองภาพในปฏิทินลีโอที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างไร ?
อันดับ 1โป๊45.86%
เพราะ มีเสื้อผ้าน้อยชิ้น มองเห็นเนื้อหนังมังสา ,นำนางแบบที่เป็นผู้หญิงมาโชว์เรือนร่างวาบหวิว ฯลฯ
อันดับ 2ไม่โป๊38.85%
เพราะ เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ,ไม่แตกต่างจากการถ่ายชุดว่ายน้ำตามปกหนังสือ ให้ความรู้สึกในลักษณะเดียวกัน ฯลฯ
อันดับ 3ไม่แน่ใจ15.29%
เพราะ ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์และมุมมองของแต่ละคน ฯลฯ
3. จากภาพที่สื่อออกมาเป็นการยั่วยุอารมณ์หรือก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงโดยเฉพาะ เรื่องการรณรงค์ต่อสิทธิสตรีหรือไม่?
อันดับ 1เป็นการยั่วยุอารมณ์43.94%
เพราะ เป็นการเสื่อมเสียเกียรติ มองผู้หญิงว่าเป็นสินค้าหรือเป็นวัตถุทางเพศ ,เพศหญิงคือเพศแม่ที่ควรเคารพ ฯลฯ
อันดับ 2ไม่เป็น34.39%
เพราะ เป็นภาพศิลปะไม่ได้น่าเกลียดอะไร ,เป็นเรื่องปกติที่มีการถ่ายปฏิทินทุกปี ,บนอินเทอร์เน็ตมีภาพที่ไม่เหมาะสมมากกว่านี้ ฯลฯ
อันดับ 3ไม่แน่ใจ21.67%
เพราะ เป็นอาชีพอย่างหนึ่งของผู้หญิง ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน ฯลฯ
4. ประชาชนคิดว่าเหมาะสมหรือไม่? จากที่มีการนำปฏิทินเบียร์ไปแจกให้กับบรรดาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล
อันดับ 1ไม่เหมาะสม 59.87%
เพราะ เป็นสถานที่ราชการที่ควรให้เกียรติ ไม่ควรไปแจกอย่างเปิดเผย ฯลฯ
อันดับ 2เฉยๆ 36.28%
เพราะ เป็นเพียงปฏิทินไม่ใช่ของผิดกฎหมายอะไร ,เป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่สนใจอยากดูอยากชม ฯลฯ
อันดับ 3เหมาะสม 3.85%
เพราะ เป็นช่วงเทศกาลที่มักมีการแจกปฏิทินให้กันทุกปี ฯลฯ
5. กรณี เกี่ยวกับปฏิทินวาบหวิวที่เกิดขึ้นแทบทุกปี ประชาชนคิดว่าควรมีวิธีป้องกันและแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก คือ
อันดับ 1มีกฎหมายบังคับใช้และต้องปฏิบัติอย่างจริงจังและเข้มงวด47.06%
อันดับ 2ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการจัดทำปฏิทินหรือของสมนาคุณที่เหมาะกับสังคมไทย25.49%
อันดับ 3ไม่ควรนำมาแจกตามสถานที่ราชการหรือที่สาธารณะ19.61%
อันดับ 4ผู้ที่นำปฏิทินออกมาแจกควรระมัดระวังและมีจิตสำนึกให้มากกว่านี้ 7.84%


ถามว่ายังมีอีกไหมการตลาดแบบนี้ มีครับ เพราะถ้าออกมาแล้ว บวก พูดกันสนั่นเมืองก็คุ้ม ซึ่งต้องเป็นนักการตลาดแบบ Gamesman จึงจะกล้าทำ

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
กรรมการผู้จัดการ

Wednesday, December 16, 2009

Coming Trends….Marketing 2010 By Dr.Danai Thieanphut

Coming Trends….Marketing 2010

ดร.ดนัย เทียนพุฒ ให้สัมภาษณ์ กับ นสพ. inMarketing ฉ. ปักษ์หลัง 16-31 ธ.ค.52 หน้า 2 ภายใต้กรอบ "Trend & Move จับคลื่นตลาดปีเสือดุ..!!




แนวโน้มการตลาดของ “ปีเสือ” จะเป็นอย่างไร ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังหาความแน่นนอนไม่ได้นั้น
ดร.ดนัย เทียนพุฒ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี เอ็น ที คอนซัลแตนท์ จำกัด ในฐานะนักยุทธศาสตร์และที่ปรึกษาธุรกิจได้ให้มุมมองพร้อมทั้งข้อสังเกตถึงแนวโน้มการตลาดในปี 2010 อย่างน่าสนใจ เพื่อที่จะให้นักการตลาดหรือองค์กรธุรกิจได้นำไปขบคิดหรือต่อยอด เพื่อวางยุทธศาสตร์และกลยุทธของตนเองได้อย่างถูกต้อง
“ประเด็นแรก ผมมองเห็นแนวโน้มของการทำตลาดกับสมาร์ทโฟนที่มาแรงอย่างทุกวันนี้ที่จะเห็นได้จามแคมเปญของซิตี้แบงก์กับ BB Curve ซึ่งแม้จะมีรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น จะต้องใช้บัตรเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี ต้องมียอดค่าใช้จ่ายผ่านบัตรไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 หมื่นบาท หรือแม้แต่ล่าสุดที่ทั้งค่ายเอไอเอส ทรูมูฟ และดีแทคเข้ามาทำตลาด BB และ iPhone ตอนนี้ก็มือค่ายแอลจี ซัมซุงที่มาเล่นในส่วนของสมาร์ทโฟน โดยซัมซุงก็ลงโฆษณามือถือรุ่นล่าสุดของตัวเองว่าเป็นมือถือ 3G แม้ว่าจะเสียเปรียบค่ายที่เป็นโอเปอเรเตอร์อยู่บ้างที่ต่างก็โดดมาทำตลาด iPhone และ BB
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของ Content และ Data น่าจะต้องมีการขบคิดกันพอสมควรว่าจะทำอะไรตรงนี้ได้อีก เนื่องจากปัจจุบัน Social Networking มาแรง ซึ่งจะทำให้ตลาดตรงนี้เติบโตมากขึ้นไปอีก”
ประเด็นต่อมา ดร.ดนัย มองแนวโน้มของกลยุทธ์ “ตลาดความดี/ตลาดบารมี” หรือ CSR เป็นแนวโน้มของกลยุทธที่จะมาแรงในปี 2010 ดังจะเห็นได้จากกรณีของการฟ้องร้องกรณีมาบตาพุดที่กลุ่มเอ็นจีโอเป็นฝ่ายชนะ จึงจะทำให้เห็นว่า “ตลาดความดี/ตลาดบารมี” น่าจะเข้ามาหรือที่เรียกกันว่า White Ocean
“ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือไต้หวัน ซึ่งกลยุทธดังกล่าวแรงมาก โดยมีมูลนิธิหนึ่งที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อนำของรีไซเคิลไปขายทำรายได้เพื่อบริจาคกับคนยากไร้ ผู้ประสบเหตุอุทุกภัย วินาศภัย และบริจาคเพื่อร่วมโครงการลดโลกร้อน ด้วยจำนวนสถานีรีไซเคิลทั้งหมด 3,000 สถานี แต่ละสถานีรีไซเคิลของมูลนิธินี้สามารถทำรายได้ประมาณ 5-8.4 แสนบาทต่อเดือนต่อสถานี มูลนิธิดังกล่าวมีสมาชิกร่วม 10 ล้านคนและมีการจ่ายค่าสมาชิกด้วย ขณะที่มีนักธุรกิจประมาณ 3 หมื่นรายร่วมบริจาคคนละ 1 ล้านเหรียญไต้หวัน ดังนั้นจึงเป็น “บารมี” ของผู้นำองค์กร ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็สอดคล้องกับแนวคิดของปีเตอร์ ดรักเกอร์ กูรูทางด้านการบริหารจัดการที่ว่า การผลักดันองค์กรนั้นเป็น “บารมี”
ฉะนั้นประเด็นของ “จิตอาสา” หรือ Social Volunteer ของไต้หวันจึงแรงมาก และผมคิดว่าในประเทศไทยเองตรงนี้ก็จะเป็นประเด็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากเป็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจปลอดภัยด้วย
นี่จึงเป็นตลาดแห่งการแผ่บารมี ตลาดแห่งความดี หรือที่เรียกกันว่า Whilte Ocean เพราะสุดท้ายแล้วในโลกของธุรกิจก็จะกลับมาที่โลกของจริยศาสตร์ เช่นเดียวกับที่สังคมไทยขณะนี้ที่กำลังสับสนวุ่นวาย สุดท้ายก็จะกลับมาที่ความดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องใช้เวลา ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นใช้เวลาถึง 40 ปีในการให้ความรู้กับผู้ผลิตทั่วโลกให้รู้จักกับ “วินัยในด้านคุณภาพ” (Quality Discipline) ขณะที่ญี่ปุ่นใช้เวลาถึง 50 ปีในการสอนวินัยและให้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีในระดับอาชีวศึกษาให้กับไต้หวัน ในช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันก่อนยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อที่จะป้อนคนไต้หวันเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมของตนเอง” ดร.ดนัยกล่าว
นอกจากแนวโน้มเรื่องสมาร์ทโฟน, Social Networking และ CSR แล้ว ดร.ดนัยมองถึงแนวโน้มการวิเคราะห์และการใส่มุมมองแบบทัศนภาพ (Scenarios) จะเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นทัศนภาพในเชิงของสังคม วัฒนธรรมหรือธุรกิจโดยเฉพาะในยุคนี้ที่กล่าวได้ว่าเป็นยุคแห่งความโกลาหล วุ่นวาย โดยเฉพาะปัญหาทางด้านการเมือง ซึ่งสะท้อนถึงระดับของจริยธรรมที่อยู่ในระดับที่ต่ำมาก(ของการเมืองไทย) ดังนั้นการเขียนทัศนภาพให้ชัดจึงเป็นเรื่องจำเป็น
ส่วนปัญหาทางด้านเศรษฐีที่ยังผันผวนนั้น ดร.ดนัยยังมองในแง่ดีว่า
“แม้จะตกต่ำสุดอย่างไรก็จะสามารถกลับ (Recover) ได้ หรือแม้แต่กรณีของดูไบเวิลด์ก็เชื่อว่าไม่กระทบกับประเทศไทยมากนัก ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจในปีหน้ายังไปได้ไม่ตกอย่างปัจจุบันอุตสาห-กรรมรถยนต์หรือกลุ่ม OEM ก็เริ่มมีออร์เดอร์กลับเข้ามาแล้ว”
ประเด็นท้ายสุด ดร.ดนัย หยิบยกขึ้นมาน่าจะเป็นประเด็นที่น่าตกใจสำหรับผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ เป็นประเด็นที่อาจารย์เรียกว่า “Nearly Free”!!
Nearly Free เป็นแนวโน้มที่เป็นผลพวงมาจากการเติบโตของ Social Networking ที่คนรุ่นใหม่ใช้เวลาและฝังตัวเองกับโลกไซเบอร์มากขึ้น เพื่อพูดคุย แชร์ภาพ แชต หรือหาข้อมูลหรือแม้แต่การถามปัญหากันเองใน Social Networking จึงทำให้มีสินค้ามากมายหลายชนิดปรับตัวเข้าไปในโลก Social Networking ด้วยรูปลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอเนื้อหาประเภท Content, Data หรือส่วนลดจนเกือบจะเรียกว่า เกือบจะเป็นของฟรี
เนื่องจากโลกไซเบอร์สร้างความเคยชินกับผู้ใช้บริการว่า อะไรก็ตามที่อยู่บนโลกออนไลน์นั้นคือ ของฟรี หรือเกือบฟรี
ทว่า ความน่ากลัวที่เกิดขึ้นนั้น ดร.ดนัยชี้ให้เห็นว่า
ป้จจุบันสินค้าที่จับต้องได้และวางขายในร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เกือบจะเรียกได้ว่า ของฟรี หรือของเกือบฟรี ที่เห็นตัวอย่างได้มากมายเช่น การให้สวนลด 25-50% หรือ 70% หรือมีส่วนลด On Top ฯลฯ
“ที่น่ากลัวสำหรับผู้ประกอบการคือ ต่อไปจะไม่มีใครสามารถขายราคาเต็มได้ ตอนนี้แนวคิดเรื่องของฟรีที่ติดมาจากโลกออนไลน์มาสู่โลกกายภาพ (Physical) แล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สินค้าที่คุณซื้อวันนี้อาจจะมีราคา 3,000 บาท แต่เมื่อถัดไป 2 สัปดาห์ราคาก็จะลดลงเหลือ 1,500 บาท เนื่องจากผู้ผลิตจัดรายการลดราคากันถี่มาก ซึ่งจุดนี้แหละที่จะทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจของผู้บริโภคเนื่องจากผู้บริโภคเองก็จะรอให้มีการลดราคาก่อนค่อยตัดสินใจซื้อจริง
ที่สำคัญแนวโน้ม Nearly Free นี้เราเองไม่สามารถตั้งราคาเผื่อตอนที่ลดราคา (Cover Discount) เนื่องจากจะถูกบล๊อกโดยระบบ เพราะหากคุณขายสินค้าของคุณราคาสูงก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะขายแพงกว่าคู่แข่งขัน
ยกตัวอย่างกรณีเป็นหนังสือ หนา 150 หน้า ต้นทุนจริง 40 บาท แต่เราตั้งราคาขายเผื่อไว้ที่ 200 บาทก็ถือว่าเป็นหนังสือแพงแล้ว เมื่อวางขายช่องทางการจัดจำหน่ายจะหักเปอร์เซนต์ตามสัดส่วนของราคาปก ตลอดจนมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งท้ายที่สุดอาจจะไม่เหลืออะไรเลยด้วยซ้ำ”
ฉะนั้น การที่จะอยู่รอดในตลาดได้ในยุคที่ “คุณค่า” และ “ราคา” ไม่มีความหมายแล้ว กลยุทธที่จะใช้กับภาวะนี้คือ “แบรนด์” “การสร้างแบรนด์” และ”การสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์” เป็นกลยุทธที่จะทำให้นักการตลาดทะยานไปเหนือภาวะดังกล่าวได้..

Monday, December 14, 2009

SWOT Analysis & Making Scenario Planning

SWOT Analysis and Making Scenario Planning เป็นหัวข้อที่ผู้เขียนไปบรรยายมาไม่นานนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญต่อธุรกิจ และน่าสนใจทั้ง 2 เรื่อง
แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่ิอว่าสนุกและสำคัญอย่างไรครับ




Friday, December 4, 2009

วิเคราะห์ทัศนภาพ(Scenario Analysis) คือคำตอบ

"......คนส่วนมากเก่งวิเคราะห์บทเรียนจากอดีต แต่ถามว่าโลกข้างหน้ามาจากสิ่งที่เป็นข้างหลังมากน้อยขนาดไหน หลายอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งโรคไข้หวัดใหญ่ วิกฤติเศรษฐกิจไม่ซ้ำหน้า หรือปัญหาการเมือง ไม่มีบทเรียนข้างหลัง ถึงเวลาต้องฝึกคนให้มองไปข้างหน้า กล้าที่จะไปก่อน กล้าที่จะเป็นผู้นำ รู้จักอ่านเกมให้ขาด และเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรองรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า”
...... ในมุมมองแม่ทัพ SCG chemicals"
จากกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 2 ธันวาคม 2552 http://www.bangkokbiznews.com

ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับคำพูดข้างต้นทั้งหมด
1.อาจจะไม่จริงครับที่บอกว่าคนของเราเก่งการวิเคราะห์บทเรียนจากอดีตเพราะ นร. นศ. ของประเทศไทยในปัจจุบันขาดความสามารถทางการวิเคราะห์ และสอบตกกันอย่างมาก ยิ่งผู้เขียนเจอหลาย ๆ ธุรกิจในการวิเคราะห์ทางกลยุทธอดีตก็วิเคราะห์ไม่เก่ง ปัจจุบันและอนาคตยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่คงอาจจะเป็นจริงเฉพาะองค์กรของผู้ที่ให้สัมภาษณ์ ก็ได้หากสามารถวิเคราะห์อดีตได้แต่วิเคราะห์อนาคตไม่เป็น

2.ในการวิเคราะห์ทัศนภาพ(Scenario Analysis) เป็นการ มองอนาคตก็จริงแต่ก็ต้องวิเคราะห์อดีตเก่งด้วย
-อดีตเป็นบทเรียนสอนไม่ให้เราทำผิดซ้ำเดิม
เช่น เราพบว่าการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาตินับจากแผน 8 เป็นต้นมาจะมีแต่กรอบยุทธศาสตร์ และแผนยุทธศาสตร์หลักไม่ชัดเจน กลายเป็นแผนยุทธศาสตร์เฉพาะกิจ หรือ มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจกระแสรองในแผนชาติแต่ละรอบ
ผลทำให้การพัฒนาประเทศไม่ไปไหนย่ำอยู่กับที่

-ขณะที่ทิศทางการพัฒนาประเทศไม่ชัดเจนเพราะ วิสัยทัศน์ของประเทศไทยไม่มีความชัดและเป็นที่ยอมรับในทุกมิติของประเทศ และไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่ มีอย่างไร หาคนบอกยาก และไม่ได้กลายเป้นสิ่งที่คนทั้งชาติจะยึดถือปฏิบัติ
อีกทั้งปัญหาหลักของชาติคือการขาด"ผู้นำ" ที่จะมีภาวะผู้นำในการขับเคลื่อน หรือ แก้ปัญหา เหลียวไปมอง ผู้นำองค์กรเอกชนก็ไม่กล้าชี้นำการพัฒนาประเทศได้แต่่วิจารณ์หรือแค่ให้ความเห็น หรือชุกภายใต้ปีกของ สภาอุตสาหกรรมฯ ที่รอแต่ว่ารัฐบาลจะให้ทิศทางอย่างไร

ผลจึงไม่มีใครมาร่วมมือกันอย่างจริงจังในการพัฒนาประเทศเพราะต่างคิดว่าธุระไม่ใช่

นั่นคือ ปัจจุบันที่กำลังกลายเป็นอดีตที่ต้องทำความเข้าใจ ไม่มีทางเลยครับที่ไม่วิเคราะห์อดีต แล้วจะก้าวไปข้างหน้าได้

แล้วการมองอนาคต ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากอดีต และเครื่องมือในอดีตหรือปัจจุบันที่จะทำนายอนาคต คงไม่มีใครหาเครื่องมือในอนาคตมาบอกอนาคตได้

สิ่งที่เป็นอนาคตมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้นคือ อนาคตที่เกิดขึนอย่างแน่นอน (แล้วเราตรวจจับได้) กับอนาคตที่เกิดขึ้นแต่เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และยากที่จะตรวจเจอ แต่ก็พยายามวิเคราะห์ให้รอบคอบที่สุด

ตย. กรณีมาตาพุด ที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับชั่วคราว 65 โครงการ ถ้าอุตสาหกรรมไทยที่ทำโครงการดังกล่าวมองอนาคตได้ดี คงไม่เกิดปัญหา และถ้าวิเคราะห์อดีตเก่งก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า สิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นรุนแรงมากยิ่งขึ้น และในอดีตเราก็มีปัญหาเรื่องนี้มาอย่างยาวนานแล้วไม่ใช่เพิ่งมี

แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เก่งทั้งวิเคราะห์อดีต และคาดการณ์อนาคต ตามที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวอ้างไว้ข้างต้น

ด้วยความเคารพผู้เขียนเห็นด้วยบางส่วนแต่ไม่เห็นด้วยทั้งหมด หากให้ชี้ความเห็นประเด็นที่เป็นปัญหาคือ ธุรกิจไม่มีเครื่องมือที่ดีในการทำให้คนมองหรือวิเคราะห์อนาคต หรือ ผู้นำองค์กรอาจจะรู้แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังในเครื่องมือดังกล่าว เพราะเราไม่เก่งทั้งการคิดวิเคราะห์ และใช้เครื่องมือทางกลยุทธที่ถูกต้อง ..การวิเคราะห์ทัศนภาพ เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้แต่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ให้เป็น


Thursday, November 26, 2009

มิติใหม่การจัดการกลยุทธ ด้วย BSC & KPIs โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

ช่วงของปลายปีในแต่ละปี ผู้เขียนจะได้รับเชิญค่อนข้างมากให้ไปจัดทำในส่วนของการสร้างวิสัยทัศน์ และภารกิจองค์กร การวิเคราะห์ทัศนภาพ(Scenario Analysis) การวางแผนกลยุทธธุรกิจ(Strategic Planning) การใช้กลยุทธ BSC & KPIs มาจัดทำแผนกลยุทธ การสร้างKPIs วัดผลงาน ฯลฯ
สิ่งที่ธุรกิจสนใจและอยากรู้มาก ๆ ว่าผู้เขียนสอนอะไรให้กับธุรกิจ เนื่องจากผู้เขียนไม่เคยให้ไฟล์ Power point แต่ให้รูปแบบอื่นจึงไม่ปรากฎสู่สายตาธุรกิจ

ขณะเดียวกันหากนำเอกสารมาเขียนบนBlog ก็มักจะมีการก๊อปนำไป ที่เวบต่าง ๆ ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้เขียนที่อยากเผยแพร่ความรู้(แต่เป็นเจตนาอย่างอื่นของเวบนั้น ๆ) หรือมีการนำรูปไปPostประกอบก็เกิดปัญหาทำนองเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้นจนถึงระดับที่ทำให้ นำ Power point สามารถมาจัดทำเป็น Clip VDO ได้ นั่นก็หมายความว่า..ถึงเวลาที่ผู้เขียนจะเผยแพร่ Power point การสอนหรือการบรรยายได้ ซึ่งดีกว่าการ เผยแพร่ในรูปเอกสาร Word แล้วแปลงเป็น pdf ไฟล์ ซึ่งทำอยู่และ Share ให้ทุกท่านเสมอมา

Clip VDO มิติใหม่การจัดการเชิงกลยุทธ นี้ ได้เสนอสิ่งใหม่ ๆ หลายเรื่องบนฐานความรู้ ของ Strategic Management , Balanced Scorecard และ KPIs & KPI Scoring ที่ผู้เขียนพัฒนาจากสถานการณ์จริงของธุรกิจต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน
(ชื่อบริษัท ในเอกสารใส่เพราะจัดให้กับบริษัทนั้น ๆ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนอกจากการเผยแพร่ทางวิชาการ) ซึ่งต้องขอขอบคุณ และ ให้เกียรติกับ Kapland & Norton ผู้ที่คิดเรื่อง Balanced Scorecard และนักคิดทางกลยุทธท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยนามไว้ ณ ที่นี้ด้วย



Tuesday, November 24, 2009

การสร้างวิสัยทัศน์และภารกิจโปรแกรม 2วันครึ่ง ที่พัทยา

วันที่ 14-15 พ.ย.52 ผู้เขียนได้รับเชิญให้ไปจัดการอบรมฝึกปฎิบัตืให้กับผู้บริหารบริษัท
Krungthai Panich Insurance Co.,Ltd. ซึ่งไปร่วมกิจกรรมกัน 2 วันครึ่งโดย
เริ่มจากการศึกษาองค์กร เพื่พอนำไปสู็่การสรุปคุณค่าในปัจจุบันขององค์กร

แล้งจึงมาจัดทำทั้ง Scenarios analysis การวิเคราะห์อีกหลายเครื่องมือ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร จนกระทั้ง นำไปสู่การสรุป SWOT เราไม่ได้ใช้ SWOT เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ แต่ใช้เป็นการสรุป ทำให้มีผลที่แตกต่าง

หลังจากนั้นได้ประมวลผลการวิเคราะห์ เพื่อนำไปสู่การสร้าง Vision & Mission Statement รวมถึง Core Values ขององค์กร





ดร.ดนัย เทียนพุฒ
รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี 2552 ประเภทนักวิชาการและที่ปรึกษา
กรรมการผู้จัดการ

บจก.ดี เอ็น ที คอนซัลแตนทฺ์

โทร 029301133

Monday, November 23, 2009

การตลาดในโลกอุตสาหกรรม ปี2020 โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

นักอุตสาหกรรมในโลกอนาคต 2020 หากไม่พูดถึงการตลาดคงต้องหลุดไปจากโลกสมัยใหม่
เนื้อหาในสไลด์โชวืจะพูดถึงโลกเศรษฐกิจในปี 2020 (A RUBIK'S CUBE WORLD 2020) ว่าอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไร มีผู้บริโภคกลุ่มใหม่เกิดขึ้นซึ่งเรียกว่า "Omni Consumer"
แล้วผู้เขียนได้เสนอเรื่องการเติบโตของผู้บริโภคกลุ่มนี้ การปรับตัวของจีนในเขตอุตสาหกรรมผู่ตง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมคงต้องนึกเกี่ยวกับ Chaotics ที่จะต้องสร้างระบบเตือนภัยและทัศนภาพเพื่อวางกลยุทธที่ถูกต้อง เรื่อง Brand Portfolio ตลอดจนการนำเสนอโมเดลใหม่ของธุรกิจครอบครัวไทยที่จะอยู่รอดอย่างยั่งยืนและออกไปแข่งขันในเวทีโลกใหม่นี้ได้

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี 2552 ประเภทนักวิชาการและที่ปรึกษา
กรรมการผู้จัดการ

บจก.ดี เอ็น ที คอนซัลแตนทฺ์

โทร 029301133

Sunday, November 22, 2009

ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการให้บริการด้านสาธารณสุข

ผมได้อ่านข่าวด้านล่างเกี่ยวกับ "ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการให้บริการด้านสาธารณสุข" (อ่านด้านล่าง)
ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลยเพราะว่า
1.เรื่องนี้มีการพูดกันมานาน และที่พูดแต่เดิมนั้นเป็นนโยบายการเมืองที่มีวาระซ้อนเร้น ในระบบสาธารณสุขของประเทศเกี่ยวกับการรักษาฟรีแบบ 30 บาท กับการสร้าง Medical Hub ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวทำให้โรงพยาบาลรัฐต้องเสีย"บุคลากรทางการแพทย์ไปให้ โรงพยาบาลเอกชน" และที่ลึกซึ้งกว่านั้นมีนายทุนจากพรรคการเมืองได้เข้ามากินรวบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ได้"บุคลากรทางการแพทย์จาก รพ.รัฐ" และการใช้การเมืองเพื่อเข้าTakeover รพ.เอกชน กลุ่มใหญ่ ๆ เป็นที่เรียบร้อยเพื่อรอการเป็น Medical Hub
2.ที่น่าจะแปลกคือ สธ. ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ของชาติในด้านการให้บริการสาธารณสุข กลับไม่ได้ทำหน้าที่ในด้านการจัดวางยุทธศาสตร์ด้านการให้บริการสาธารณสุข กลายเป็นว่าต้องให้
คนที่ไม่เคยทำงานด้านนี้มาเป็นผู้กำหนด "ยุทธศาสตร์ด้านการให้บริการสาธารณสุขของประเทศ"
3.ในการกำหนดด้านยุทธศาสตร์ชาติ หากต้องการให้เกิดยุทธศาสตร์ที่ดี ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะได้หรือไม่เพราะ ยังไม่ค่อยเห็นในเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมมากนัก เช่น บริการด้านสาธารณสุขของไทยที่จะมีกลุ่มเป้าหมายจากผู้ใช้บริการจากต่างประเทศนั้น มีการจัดทำในเรื่อง "ทัศนภาพด้านสาธารณสุข (Health Care Scenarios)" ไว้หรือคิดจะทำหรือไม่ หวังว่าคงไม่ไปเริ่มด้วยการทำ SWOT Analysis ตามที่คุ้นเคย และใช้กลยุทธทะเลสีต่าง ซึ่งปัจจุบัน ได้ตายแล้ว( กลบุทธทะเลสี....เกิดปี 2005 ตาย ปี 2009)
แต่ที่แน่ๆ สิงค์โปร์ได้ก้าวล้ำหน้าเรื่องนี้ (ในเชิงรูปธรรมไม่ใช้แค่นโยบายสร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มทุนที่ซื้อ รพ.เอกชน) ก่อนไทยมาหลายปีแล้ว
....แต่ก็ดีครับที่จะเริ่มทำเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าคนทำจะไม่ได้รู้เรื่องมาก่อน เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ที่น่าติดตามทีเดียว


ตั้ง‘กนก’ปั้นไทยฮับสุขภาพ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จาก โพสต์ทูเดย์ http://www.posttoday.com/business.php?id=77476

นายกฯ ตั้ง “กนก” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สุขภาพโลกบริการต่างชาติ หวังดึงเม็ดเงินพยุงเศรษฐกิจกว่าแสนล้าน เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวล้านคนต่อปี
นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจของนายกรัฐมนตรี เพื่อพัฒนาให้ไทยเป็น ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะมีหน้าที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์และวิธีการปฏิบัติในการให้บริการด้านสาธารณสุขให้กับต่างประเทศ
ทั้งนี้ หากยุทธศาสตร์ดังกล่าวสามารถดำเนินการได้สำเร็จ คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยได้ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายจะช่วยดึงเม็ดเงินภาคบริการให้ได้มากกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกันก็จะช่วยให้สามารถเพิ่มปริมาณชาวต่างชาติ ให้เดินทางเข้ามา เพื่อเฝ้าไข้หรือติดตามผู้ที่เข้ามารับบริการมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี จึงเป็นการเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้อุตสาหกรรม ท่องเที่ยวอีกทาง ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ ให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้อีกด้วย

นายกนก กล่าวอีกว่า หลังจากที่นายกฯ เดินทางหารือกับภาคเอกชนในสหรัฐ ได้หารือถึงการพัฒนาอนาคตและศักยภาพของการเป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์การให้บริการสาธารณสุขของโลก ซึ่งภาคเอกชนของสหรัฐพร้อมที่จะสนับสนุนและส่งคนไข้เข้ามารับการรักษาในประเทศไทยจำนวนมาก เพราะไทย ถือเป็นประเทศที่มีความสามารถด้านการให้บริการด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับโรค ตติยภูมิ โดยมีแพทย์และเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน สามารถแข่งขันในเรื่องของราคาได้กับหลายประเทศที่เปิดบริการด้านสุขภาพ ด้านการบริการประเทศไทย ค่อนข้างมีจุดแข็งในเรื่องดังกล่าว เป็นที่ยอมรับระดับโลก หากผสมผสานจุดแข็ง ที่มีทั้งหมด เชื่อแน่ว่าไทยน่าจะเป็นศูนย์กลางหรือฮับด้านสุขภาพในภูมิภาคนี้ได้

สำหรับการจัดทำยุทธศาสตร์ในการให้บริการสาธารณสุขให้กับต่างชาติถือเป็น สิ่งที่ดี เพราะการบริการสาธารณสุขถือเป็นจุดแข็งด้านการแพทย์ของไทย

นายกนก กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ กำชับถึงความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ในการให้บริการด้านสาธารณสุขขึ้นกับ ไทยเอง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คณะกรรมการชุดนี้จะต้องดำเนินการภายใต้การให้บริการคนไทยให้ได้มาตรฐานทัดเทียมต่างชาติ จึงต้องเตรียมการและแก้ไข หากยุทธศาสตร์นี้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับคนไทยมากที่สุด

Saturday, November 21, 2009

Monday, November 2, 2009

คิดเรื่องทัศนภาพ-Scenario Thinking By Dr.Danai Thieanphut

เรื่องราวของ "ทัศนภาพ (Scenario)" เป็นสิ่งที่พูดถึงกันมากขึ้นในปัจจุบันแต่ความชัดเจนในเรื่องนี้มีไม่มากนักหรือ ในเมืองไทยเพิ่งจะรู้จักกันไม่นานนัก
ผู้เขียนจึงโดดเข้ามาทำหน้าที่นี้ให้ความชัดเจนและสอนให้ธุรกิจได้รู้จักเครื่องมือทางกลยุทธที่มีประสิทธิภาพเครื่องมือหนึ่ง...อ่านได้ครับ

Thursday, October 8, 2009

ตอบคำถามด้าน BSC & KPIs โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

การจ้ดทำโมเดลธุรกิจ

เรียน อาจารย์ ดร.ดนัย เทียนพุฒ
ก่อนอื่น ขอแสดงความยินดีที่อาจารย์ได้รับรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทยปี 2552
ผมได้อ่านหนังสือ ดัชนีวัดผลสำเร็จธุรกิจ (KPIs) และ การประเมิณองค์กรแบบสมดุล (BSC) ภาคที่ 2 แล้ว
แต่ยังไม่สามารถจัดทำโมเดลธุรกิจระดับฝ่ายได้ จึงขอถามคำถามดังนี้
1. การจัดทำโมเดลธุรกิจระดับฝ่าย จะต้องนำภารกิจของฝ่าย มาเขียน B-Model ของระดับฝ่าย หรือ B-Model ของระดับธุรกิจมาใช้กับระดับฝ่ายได้เลยครับ?
2. จากข้อ 1 หากไม่สามารถยก B-Model ของระดับธุรกิจมาใช้กับระดับฝ่ายได้ KPIs Lists และ Impact KPIs จะได้มาจาก KPIs ระดับธุรกิจ หรือ ระดับฝ่าย?
3. จากรูปที่ 25 หน้า 84 การจัดทำโมเดลธุรกิจระดับธุรกิจและระดับฝ่าย ระหว่างโมเดลธุรกิจระดับธุรกิจและระดับฝ่ายมีลูกศรโค้งๆเชื่อมต่อกันและระบุว่า 1 สามารถนำมาใช้ได้เลย หรือ 2 มีความสัมพันธ์กันในล้กษณะเป็นส่วนย่อย อาจารย์ หมายถึง KRA หรือ Strategic Hypothesis หรือ KPIs ครับ?
4. หากองค์กรมีภารกิจทั้งหมด 6 ข้อ และ มีฝ่ายทั้งหมด 7 ฝ่าย เมื่อจัดทำโมเดลธุรกิจระดับธุรกิจและระดับฝ่ายจะได้ B-Model ระดับธุรกิจ 6 โมเดล และ B-Model ระดับฝ่าย 7 โมเดล ใช่หรือไม่ครับ?
5. จากข้อ 4 หากในแต่ละโมเดลมี KRA อย่างน้อย 4 ข้อ นั่นหมายความว่าเราจะต้องมี KPIs รวมไม่ต่ำกว่า (6+7)x4 = 52 ตัวใช่หรือไม่ครับ? เยอะเกินไปหรือเปล่าครับ?
6. อาจารย์พอจะมีตัวอย่างแบบครบสมบูรณ์ของหน้า 103 ให้เห็นภาพความสัมพันธ์ตั้งแต่ภารกิจองค์กร ลงมาถึง Personal KPIs หรือไม่ครับ?
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ด้วยความนับถือ
ปิยบุตร โศภิณเวทยา


Subject: Re: การจ้ดทำโมเดลธุรกิจ

คุณปิยบุตร

ขอบคุณครับที่แสดงความยินดี
1โดยหลักการใช้ได้เลย ถ้าฝ่ายงานมีภารกิจตรงกับภารกิจองค์กร แต่อาจจะขาดด้านบริหาร การเงิน การลงทุนที่ไม่มีในภารกิจ
2.ถ้าไม่มีไปคิดที่ฝ่ายงานนั้นครับ
3. ในกรณีที่ใช้ได้ก็ใช้ทั้งหมด แต่กรณีที่กระจายลงมาแล้วใช้ไม่ได้ ระดับฝ่ายอาจจะใช้ สมมติฐานทางกลยุทธและ KPIs ขององค์กรเป็นแนวทาง
4.ถูกต้องครับแต่ที่เพิ่มคือ รวมโมเดลธุรกิจระดับภารกิจ ใน สมมติฐานทางกลยุทธเป็น 1 Strategy Map และ รวม KPIs ระดับภารกิจ เป็น Corporate KPIs
5. KPIs ระดับองค์กร ควรอยู่ที่ ถ้า 4 ภารกิจ 16-24 ตัว ถ้า 6ภารกิจ รวมแล้วพยายามให้เท่ากับ 16-24 เพราะจะมีซ้ำกัน

6.ปัจจุบันผมปรับเวอร์ชั่นใหม่ จึงไม่มีตัวอย่างแบบที่ขอมาแต่ดูเวอร์ชั่นใหม่ได้ที่

ดร.ดนัย เทียนพุฒ

Saturday, October 3, 2009

แจกฟรี!!! หนังสือ Marketing KPIs : ดัชนีวัดองค์กรที่มุ่งการตลาด


แจกฟรี !!! หนังสือ ดัชนีวััดองค์กรที่มุ่งการตลาด (Marketing KPIs) ราคาเล่มละ 215 บาท
โดยเสียเพียงค่าส่งเล่มละ 30 บาท

เวลาเริ่ม: 1 ตุลาคม 2009 เวลา 1:00 น.
เวลาสิ้นสุด:31 ตุลาคม 2009 เวลา 0:00 น.
สถานที่:โครงการ Human Capital
ถนน:Phaholyothin 24 Yak 4-1 Jatujak
เมือง:Bangkok, Thailand 10900


วิธีการ
-โอนเงิน 30 บาทเข้า บัญชีออมทรัพย์ ธ.กสิกรไทย สาขาย่อยเซ็นทรัลลาดพร้าว เลขที่ 730-2-25675-0
ในนามคณะบุคคลโครงการฮิวแมนแคปปิตอล
-ส่งใบ pay in พร้อมชื่อที่อยู่ในการจัดส่งมาที่
FAX 029301133 หรือ email:DrDanaiT@gmail.com


ดร.ดนัย เทียนพุฒ
กรรมการผู้จัดการ

Tuesday, August 18, 2009

Top 10 Management Tools By Dr.Danai Thieanphut

มีข่าวดีที่น่าจะบอกให้กับธุรกิจได้รู้ครับ

บริษัท Bain & Company ได้สรุปล่าสุดผลการสำรวจผู้บริหารในโลกธุรกิจของปี 2009
พบว่ามี 10 เครื่องมือทางการบริหารที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้คือ

1. ฺBenchmarking หรือ การเปรียบเทียบวัด
2.Strategic Planning -การวางแผนกลยุทธ
3.Mission and Vision Statement -การทำเรื่องข้อความวิสัยทัศน์และภารกิจ
4.CRM -การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า
5.Outsourcing-การใช้บริการจากหน่วยงานภายนอก
6.Balanced Scorecard -การจัดการกลยุทธด้วย BSC& KPIs(เรียกกันในเมืองไทย)
7.Customer Segmentation-การกำหนดส่วนของลูกค้า
8.Business Process Reengineering-การทำรีเอ็นจิเนีย
9.Core Competencies-ความสามารถหลักของธุรกิจ
10. Mergers & Acquisition-การซื้อและควบรวมกิจการ

และโดยเฉพาะผู้บริหารของ ประเทศเกิดใหม่ในเอเซีย จัดทำในเรื่องกลยุทธการเติบโตและนวัตกรรมมากกว่าในอเมริกาเหนือ

ใน 10 เครื่องมือทางการบริหาร และการจัดทำกลยุทธดังกล่าว ดร.ดนัย เทียนพุฒ กรรมการผู้จัดการ บริษัทดี เอ็น ที คอนซัลแตนท์ จำกัด เราเป็นผู้นำและเชี่ยวชาญในเมืองไทย(เข้าใจธุรกิจในเมืองไทยมากกว่า บริษัทประเภทนี้อื่น ๆ จากนอกประเทศไทย) ใน ด้าน Strategic Planning , Mission and Vision Statement , Balanced Scorecard, Business Process Reengineering and Core Competencies ซึ่งเป็นเครื่องมือระดับโลกใน 5 เครื่องมือที่นิยมมากที่สุดใน ปี 2009

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
     นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิและที่ปรึกษาอิสระ
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันพระปกเกล้า
โทร 0818338505  email: drdanait@gmail.com

Friday, August 14, 2009

กลยุทธทะเลใหม่ : New Ocean Strategy By Dr.Danai Thieanphut

กลยุทธทะเลใหม่ :NOS

ผู้เขียนเห็นว่า เดี๋ยวนี้เราไม่ยึดติดกับทะเลสีอะไรแล้วเพราะสุดท้าย จริง ๆ คือ ทะเลสีแดงเลือดสาด ซึ่งนั่นหมายถึง เรากำลังมุ่งไปสู่ M & A การซื้อและควบรวมกิจการ

ขณะเดียวกัน "กลยุทธทะเลใหม่น่าจะดีกว่าการไปบอกว่า จะไปทะเลสีอะไร" จริงไหมครับ

และ ผู้เขียนทำด้านกลยุทธมานาน กลับพบว่า เรามาหาทะเลใหม่ดีกว่าซึ่งอาจเป็น ทะเลในอีกมิติที่ยังไม่มีใครผ่านช่องว่างของอนุภาคนั้นเข้ามาได้แต่เป็นมิติใน ควอตัมฟิสิกส์ ...

น่าหมายความว่า ทะเลสีอะไรก็ตาม ไม่จีรังยั่งยืน ยังไงก็ต้องหาพื้นที่ว่าทางธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดเวลา

เราหลงกับดักในเรื่องของ ทะเลสี ใช่หรือไม่

กลยุทธที่ปัจจุบันกำลังสนใจกัน ไม่ใช่สีของทะเลแต่เป็น กลยุทธที่จัดการกับความไม่แน่นอน และภาวะยุ่งเหยิง สับสนต่างหาก แม้แต่ Kotler ยังให้ศึกษา กลยุทธเกี่ยวกับ Chaotics

ซึ่งตรงใจผู้เขียนและอยากให้ธุรกิจสนใจในเรื่องนี้ดีกว่า เพราะได้กลยุทธทัศนภาพที่ชัดเจนและวางกลยุทธการแข่งขันได้ดีที่สุด
ติดตามอ่านได้ครับ


ดร.ดนัย เทียนพุฒ
รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี 2552 ประเภทนักวิชาการและที่ปรึกษา
กรรมการผู้จัดการ

บจก.ดี เอ็น ที คอนซัลแตนทฺ์

โทร 029301133

Thursday, August 13, 2009

บุญชู โรจนเสถียร : นักบริหารมืออาชีพ ซาร์เศรษฐกิจ และนักการเมืองเจ้าของแนวคิดประชานิยมคนแรกของไทย

เมื่อวันที่ 10 ส.ค.52 ได้ดู ทีวีงานพระราชทานเพลิงศพคุณบุญชู โรจนเสถียร

ทำให้อดนึงถึง หนังสือเล่มแรกในชีวิตการเขียนของผมไมได้ เพราะหนังสือ นักบริหารมือาชีพ ที่พิมพ์เมื่อ ปี 2530 ท่านเป็นหนึ่งใน 6 นักบริหารมืออาชีพที่ผมได้เขียนถึง มีท่านอื่นคือ คุณเกษม จาติกวณิช คุณดุษฎี สวัสดิ์-ชูโต คุณบัญชา ล่ำซำ คุณมีชัย วีระไวทยะ และ ดร.อำนวย วีรวรรณ

สำหรับคุณบุญชู โรจนเสถียร ผมได้สรุป ความเป็นนักบริหารมืออาชีพไว้ดังนี้

หลักการบริหาร
(1)ให้ทุกคนในองค์การรู้วัตถุประสงค์ของงาน และจุดมุ่งหมายของตนว่าอยู่ในทิศทางใด
(2)ต้องรู้จักใช้คนให้ทำงานแทนตนได้
(3)ต้องรู้สิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
(4)ต้่องรู้จักวิธีการถ่ายทอด มอบหมายงาน การสื่อสารข้อความ การมอบอำนาจและติดตามผลของการทำงาน

หลักการทำงาน
(1)มอบความรับผิดชอบให้แก่ผู้ทำงานพร้อมกับอำนาจอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฎิบัติหน้าที่จนบังเกิดผลได้อย่างสมบรูณ์
(2)ติดตามสนับสนุนและพร้อมที่จะช่วยแก้ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ได้รับมอบหมายโดยตลอด เพื่อให้งานบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
(3)ให้กำลังใจแก่ผู้ที่ตั้งใจทำงาน ให้รางวัลแก่ผู้ที่มีผลงานดีเด่นและต้องยกย่องให้มีเกียรติปรากฎด้วย
(4)การทำงานทุกชนิดจะต้องมีเป้าหมาย มีแผนงาน มีโครงการและมีวิธีการปฏิบัติงานไว้ก่อนเสมอ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาว่าช่วงไหนควรจะทำอะไรก่อนหลัง

หลักการดำเนินชีวิต
(1)รู้จักปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือสถานที่ที่ตนอยู่
(2)รู้จักฉวยโอกาสในสภาพการณ์ทุกสภาพได้ตลอดเวลา


ยังมีเรื่องคุณสมบัติเฉพาะตัว ปรัชญาและแนวคิดในการจัดการธุรกิจ และหลักหมายของวิสาหกิจ และการบริหารทรัพยากรกำลังคนในสถาบันการเงินในอนาคต
และเมื่อผมทำต้นฉบับหนังสือเสร็จเรียบร้อย ได้ขออนุญาตจัดพิมพ์ ท่านได้เมตตาตอบอนุญาตกลับมา ว่าได้พิจารณาแล้ว ให้พิมพ์ได้ตามความประสงค์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 29

ผมขอบูชาครูด้วยอีกคนและ ขอให้คุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสรรค์สังคมและประเทศชาติ จงดลบันดาลให้ดวงวิญญาณของไปสถิตอยู่ในสัมปรายภพตราบชั่วกัลปาวสาน

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
กรรมการผู้จัดการ
บจก ดี เอ็น ที คอนซัลแตนท์

***********************************
บทสัมภาษณ์สุดท้ายซาร์เศรษฐกิจ "บุญชู โรจนเสถียร" ประชานิยมขนานแท้ !

สัมภาษณ์สุดท้าย"บุญชู โรจนเสถียร" ต้นตำรับนโยบายประชานิยมขนาดแท้ และดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น นโยบายเงินผัน หรือ เงินผลาญ คนจนรักษาพยาบาลฟรี คนจนขึ้นรถฟรี ไทยแลนด์ อิงก์

ในวันที่ 10 สิงหาคม เวลา 17.00 น. นี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ นายบุญชู โรจนเสถียร ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส โดยในวันที่ 8-9 สิงหาคม จะมีการตั้งสวดศพพระอภิธรรม ณ ศาลากลางน้ำ ในเวลา 19.00 น.
ช่วงบั้นปลายของชีวิต สมัยรัฐบาลชวน 2 เมื่อประมาณ พ.ศ. 2543 นายบุญชู ได้ประกาศวางมือทางการเมือง หลังจากเป็น ส.ส. ถึง 8 สมัย แล้วหันไปทำกิจการสปา เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ "ชีวาศรม รีสอร์ท แอนด์ เฮลท์สปา" ที่เขาตะเกียบ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ซึ่งถือเป็นรีสอร์ทสุขภาพแห่งแรกของประเทศไทย จนมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ และเป็นสปาที่ดีที่สุดติดอันดับโลก ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคโรคมะเร็งในเม็ดเลือด เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2550 ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ขณะมีอายุได้ 86 ปี
30 ปีที่แล้ว หากกวาดสายตาไปทั่วแผ่นดิน มองหามือเศรษฐกิจระดับเซียนเหยียบเมฆ ไม่มีใครโดดเด่นเกินกว่า บุญชู โรจนเสถียร
บุญชู คือคนที่ ชิน โสภณพนิช ขอร้องให้มาร่วมบริหารธนาคารกรุงเทพ จนแบงก์บัวหลวงกลายเป็นแบงก์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ในวันนั้น แบงก์ของสิงคโปร์ ยังวิ่งตามแบงก์กรุงเทพไม่ทัน
บุญชู เป็นนักธุรกิจคนแรกที่กระโดดลงสู่สนามการเมือง ในวันนั้น ทั้งสภามีแต่ขุนนาง ข้าราชการ และทนายความ
ปี 2517 บุญชู ตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยมอบให้ พร สิทธิอำนวย อดีตบัณฑิตเกียรตินิยมทางเศรษฐศาสตร์ จากสำนักลอนดอน สกูล ออฟ อีโคโนมิคส์ ร่างพรรคการเมืองในอุดมคติ
แล้วเชิญ ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ได้รับการปฎิเสธ จึงไปเชิญ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มาเป็นหัวหน้าพรรค
พรรคกิจสังคมของบุญชู คือ ต้นตำรับนโยบายประชานิยม ขนาดแท้ และดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น นโยบายเงินผัน หรือ เงินผลาญ คนจนรักษาพยาบาลฟรี คนจนขึ้นรถฟรี
บุญชู ทำมาหมดแล้ว ...
บุญชู คิดแม้กระทั่ง การตั้ง "ไทยแลนด์ อิงก์" ผนึกรัฐ-เอกชน กระโดดเข้าสู่โลกทุนนิยม อันเป็นแนวคิดที่ทันสมัยที่สุด
เอาเข้าจริง สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คิดใหม่ ทำใหม่ เมื่อปี 2541 ยังล้าหลังกว่า แนวคิดซาร์เศรษฐกิจที่ชื่อ "บุญชู โรจนเสถียร"เสียอีก
และนี่คือบทสัมภาษณ์สุดท้ายที่นายบุญชูให้สัมภาษณ์"ประชาชาติธุรกิจ"ก่อนจะเสียชีวิตลงไม่นาน บนอาคาร โมเดิร์น ทาวน์ เอกมัย ซอย 3
--------------------
@ในช่วงที่เข้ามาทำงานการเมืองฝันเกี่ยวกับการเมืองอย่างไร แล้วทำอะไรไปได้บ้าง
ประเด็นที่เกี่ยวกับการเมืองระหว่างนี้เราห่างออกมาเยอะ เพราะว่าเราพยายามทำตัวให้พ้นจากพันธะทางการเมือง แต่การที่เราพยายามห่างออกมา มันห่างมาด้วยตัว แต่ใจไม่ได้ห่าง ใจยังติดตามอยู่ เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่เคยทำงานมาก่อน เรารู้เรื่องราวความเป็นมาของปัญหาแต่ละเรื่อง เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกันมา ซึ่งเราก็จำเป็นที่จะต้องพยายามที่จะติดตามรับรู้เรื่องราวต่างๆ
@มองภาพ 30 ปี เศรษฐกิจ การเมืองไทย พัฒนาไปอย่างไรบ้าง นับจากปี 2519 จนถึงปัจจุบัน
เปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องก็เหมือนเดิม เช่น ลักษณะของความเป็นผู้แทนราษฎรยังจะต้องมีพฤติกรรมในการปฏิบัติกับประชาชนเหมือนเดิม หรือมีเงินที่จะต้องใช้จ่ายในการที่จะรณรงค์หาเสียง
@ 2 เรื่องนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง !
การเลือกผู้แทนราษฎรของเราไม่ได้เลือกโดยอาศัยความรู้ ความสามารถ หรือว่าแนวความคิดของคนคนนั้น เลือกเพราะว่าชอบพอกัน พึ่งพาอาศัยกัน ถึงเวลามีปัญหาก็ช่วยเหลือกัน ผูกพันกันอย่างนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากกว่า แต่ในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมืองว่าควรจะแก้อะไร อย่างไร ก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้ลึกซึ้งอะไร ข้อสำคัญคือจะต้องผูกจิตผูกใจชาวบ้านให้ได้
@ เรียกว่าเราอยู่ในระบบอุปถัมภ์ได้ไหม
เป็นระบบอุปถัมภ์ ก็เลยอุปถัมภ์ไปถึงตัวผู้แทนด้วย มีคนมาอุปถัมภ์ผู้แทนอีกทีหนึ่ง แต่ในเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย ความคิดความอ่านเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้กับประชาชน พยายามที่จะให้การปกครองลงไปถึงระดับล่าง ลงไปถึงหมู่บ้านถึงตำบลนั้นพัฒนาไปเยอะพอสมควรแล้ว จำได้ว่าเริ่มต้นจากนโยบายเงินผันที่ผมทำไว้ก่อน
สมัยที่ผมกระโดดเข้ามาสู่การเมืองนั้น ประชาชนไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีอำนาจ นึกแต่เพียงว่าแล้วแต่เจ้านายเขาจะเมตตา ไม่ได้เป็นสิทธิของเขา เราก็พยายามจะให้เขารู้สึกว่า ความจริงเขามีวิธีการที่เราให้เขาเริ่มมีความรู้สึกก็คือส่งเงินผันลงไปให้เขาจัดการของเขาเอง จะทำถนน ทำสะพาน จัดการทำเองได้ ไม่ต้องไปขอร้อง ไม่ต้องไปอ้อนวอนใคร
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ประชาชนเริ่มสัมผัสกับความเป็นประชาชนในระบอบประชาธิปไตย คือด้วยความรู้สึกว่าเขามีสิทธิที่จะเรียกร้องที่จะทำอะไรได้
@ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักธุรกิจจะเข้ามาสู่ในวงการเมืองมากขึ้น
นักธุรกิจเห็นแล้วว่าระบบอุปถัมภ์นั้นเปิดช่องทาง เขาก็ลงทุนเข้ามา ปกติเขาเพียงแต่ว่าคอยตักตวงผลประโยชน์โดยสร้างความใกล้ชิด สนิทสนมกับนักการเมือง แต่ตอนนี้ลงมาเสียเองดีกว่า อาจจะใช้เงินน้อยกว่าที่จะไปอยู่ข้างหลัง
เคยย้อนดูสถิตินักการเมือง เดิมเป็นครู เป็นข้าราชการ เป็นทนายความ แต่ช่วง 20 ปีหลังมานี่จะเป็นสัดส่วนของนักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมืองเยอะขึ้น
ผมเป็นคนนำ ตอนนั้นไม่มีใครกล้ามา เขาก็บอกว่า หาเหาใส่หัว กระโดดเข้ามาทำไม ผมเป็นนายแบงก์ ใครๆ ก็นึกว่าสบายแล้ว ทำไมกระโดดเข้ามาหาทุกข์ใส่ตัว
@การที่นักธุรกิจเข้ามาเล่นการเมืองเยอะขึ้น ดีหรือไม่ดีต่อระบบการเมืองไทย
มีทั้งดีและไม่ดี หากนักธุรกิจกลุ่มนั้นมีศีลธรรม มีจรรยา มีหิริโอตตัปปะดี พยายามใช้ความรู้ของตัวมาใช้แก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของบ้านเมือง พวกนี้เขามีความรู้ ความเข้าใจดีกว่า ถ้าจะพูดจริงๆ ดีกว่านักวิชาการด้วยซ้ำ เพราะนักวิชาการจะติดอยู่กับตำรา ไม่ได้สัมผัสกับปัญหาหรือเรื่องราวต่างๆ ในทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจโดยตรง
นักธุรกิจเขาต่อสู้ เขาแข่งขันกันขึ้นมา มีความสามารถที่จะนำตัวขึ้นมาเหนือคนอื่นเขาก็ด้วยระบบการแข่งขันในระบบทุนนิยม เมื่อเขาสร้างตัวขึ้นมาอย่างนั้น เขาย่อมมีความรู้ดี แต่มาเสียตอนที่ว่าโลภมาก เห็นช่องทางดี แล้วหาประโยชน์เป็นส่วนตัวไป นั่นคือข้อเสียที่เห็นกันในตอนนี้
@ประชาชนจะเข้ามาช่วยคอนโทรลให้เขาทำหน้าที่ให้เป็นประโยชน์กับประชาชนมากขึ้นได้อย่างไรบ้าง
ก็ที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ สิ่งที่กำลังก่อผลการเปลี่ยนแปลงอีกระดับหรืออีกช่วงหนึ่ง เป็นสิ่งที่อยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ มิติใหม่จะเป็นลักษณะที่ว่าเราจะมีธรรมาภิบาลได้หรือยัง
@สมัยที่เสนอเรื่องไทยแลนด์อิงก์ก็คิดอยู่แล้วว่าสังคมไทย เศรษฐกิจไทยจะต้องเข้ามาสู่ระบบทุนนิยม
มันถูกครอบงำโดยระบบทุนนิยม แม้กระทั่งสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ก็ต้องหันมายอมรับ จะพูดว่าพังทลายก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องของการปรับตัวของสังคมนิยม เช่น ประเทศจีนเขาปรับตัวของเขา เขายังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่ แต่ว่าระบบงานบริหารทางด้านเศรษฐกิจก็เอาส่วนดีของทุนนิยมมาใช้
@ถ้ามองย้อนกลับไป ไทยแลนด์อิงก์ในวันนี้ล้าสมัยไปหรือยัง
ไม่ล้าสมัย ในเมื่อเราจะต้องแข่งขันกับประเทศอื่นเขาแล้ว เราจะต้องผนึกกำลังภายในของเราให้แน่น ถึงจะไปสู้กับเขาได้ นั่นหมายความว่าจะต้องผนึกระหว่างเอกชนกับรัฐ วางแผนที่จะปฏิบัติร่วมกันที่เรียกว่า ไทยแลนด์อิงก์ ตอนนั้นเขาถือว่าเป็นการรวมตัวกัน ตอนนั้นเขาก็หาว่าผมกำลังดึงทุนข้ามชาติมาครอบงำเศรษฐกิจไทย
@ว่ากันจริงๆ แล้วตอนนี้เราจำเป็นต้องใช้ทุนข้ามชาติมาพัฒนาประเทศเราเหมือนกัน
เราอยู่ในระบอบทุนนิยม อยู่ที่ว่าเราจะใช้ระบบนั้นให้เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ หรือไปกระจุกผลได้อยู่ในกลุ่มของนายทุน เพราะฉะนั้นประเด็นใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับเศรษฐกิจของเราก็ยังอยู่ที่ว่าการกระจายรายได้ถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ ที่บอกว่า จีดีพีขึ้นมา 10% 8% 9% ถามว่ามันไปอยู่ที่ใครหมด
@สมัยที่ท่านกุมบังเหียนเศรษฐกิจ ท่านมีวิสัยทัศน์ มองเห็นไหมว่าประเทศไทยควรขยับเขยื้อนไปทางไหน ทางอุตสาหกรรม ทางเกษตร หรือว่าทางไหน
ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยเกษตร หนทางที่เราจะไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง จะต้องมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจการเกษตร เราจะต้องปลูกพืชผลที่มีโอกาสจะปลูกได้มาก แล้วสามารถแปรสภาพเป็นสินค้าสำเร็จรูปเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น และเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรสภาพสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่
นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราหลงไปทางด้านอุตสาหกรรม ทางด้านอื่นๆ ที่จะต้องใช้ทรัพยากร หรือสินค้าจากข้างนอก เราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกมากมาย จะยิ่งแย่ใหญ่
@สภาพตอนนี้รัฐบาลเองให้การส่งเสริมตรงนี้พอหรือยัง เพราะเวลามีเอฟทีเอทีไร เกษตรมักจะได้รับผลกระทบทุกครั้ง
หมายความว่าการพัฒนาการเกษตรของเรามันลุ่มๆ ดอนๆ ไม่อยู่กับที่แล้วไม่ต่อเนื่อง สาเหตุนี้ก็เลยทำให้เรากลายเป็นประเทศที่ยังยากจนอยู่ ทั้งๆ ที่เรามีโอกาสจะร่ำรวยอย่างเดียวกับเนเธอร์แลนด์ก็ดี อยากจะร่ำรวยอย่างออสเตรเลียก็ดี มาจากเกษตรทั้งนั้น
@นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ศักยภาพที่แท้จริงของเราว่ามีศักยภาพตรงไหนสูงสุด ก็เลยเดินหลงทางในการพัฒนา
จะบอกว่าไม่รู้ก็คงไม่ใช่ แต่ไปหลงอย่างอื่น อย่างที่คุณทักษิณต้องการจะขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศนี้ แล้วลืมเกษตรเสียก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้
@มองทิศทางประเทศไทยจากวันนี้อย่างไร
ทำให้การเมืองสุจริต ยุติธรรมเสียก่อน การดำเนินงานทางด้านเศรษฐกิจ ความจริงมันดำเนินโดยภาคเอกชนโดยอัตโนมัติของมันอยู่แล้ว ฝ่ายรัฐจะต้องสร้างโอกาส สร้างภาวการณ์ที่จะส่งเสริมให้งานของภาคเอกชนเดินหน้าได้ เมื่อใดที่จะมีการลงทุน ทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ก็ควรจะมาพูดมาจา ตกลงร่วมกันเพื่อที่จะร่วมมือกัน
หันไปไทยแลนด์อิงก์ เพราะนั่นคือทางออกที่ดีที่สุดของเรา เพราะบ้านเมืองของเรามีภาวะที่อำนวยให้เราหาประโยชน์จากพื้นดินของเรา ดินฟ้าอากาศของเราก็อำนวยให้เราไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากเหมือนประเทศอื่นเขา ถ้าหากว่าเราเริ่มต้นทำให้พื้นดินของเราเป็นประโยชน์ด้านการผลิต ด้านการเกษตรมากขึ้น เราก็จะรวยได้แน่นอน
ตอนนั้นเราก็แข่งกับสิงคโปร์ สิงคโปร์ก็แซงหน้าเราไป พอเราแข่งกับมาเลเซีย มาเลเซียก็แซงหน้าเราไป ต่อมาเราแข่งกับเวียดนาม ก็ดูเหมือนว่าเขากำลังจะแซงหน้าเราไปแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น
เกิดเพราะความเขลาของเรา เราหลงผิด สาวสวยอยู่ข้างๆ แต่ยังจะไปเชยชมสาวอีกด้านหนึ่ง
@เป็นเพราะว่าผู้นำทางการเมืองของเราไม่มีความสามารถเท่ากับเพื่อนบ้าน
ไม่จริง คุณทักษิณไม่ใช่ว่าไม่เก่ง แต่ความเก่งของเขาใช้ประโยชน์ไปในทางส่วนตัวมากกว่า
@ถ้ารัฐบาลต้องขับเคลื่อนโดยคุณทักษิณ จะต้องหันทิศทางอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่มากที่สุด เพราะที่ผ่านมามีบททดสอบบางอย่าง
ให้เขาเริ่มฉลาดขึ้น ไปหันเหเขาไม่ได้หรอก เขาต้องรู้ด้วยตัวเขา ถ้าเขาเป็นรถยนต์ เราจะไปสั่งให้เขาขวาหัน ซ้ายหันไม่ได้
@ตอนที่ท่านกุมบังเหียนเศรษฐกิจ ท่านมองสิงคโปร์เป็นคู่แข่งที่เราต้องสู้ไหม
อยากให้ย้อนกลับไปดูตอนที่ผมเป็นนายแบงก์ ผมเอาพวกนี้อยู่มือหมดทั้งนั้น สิ่งที่เราจะต้องยอมรับว่า เรามีทรัพยากรเยอะ สิงคโปร์มีอะไร แต่เขามีคน เขาสร้างคนขึ้นมาเป็นทรัพย์ที่เขาจะได้หาประโยชน์ แล้วดึงทุนไปไว้ที่เขาหมด ทุนของเราตอนนั้น เวลาที่ผมดึงแบงก์กรุงเทพขึ้นมาใหญ่กว่าแบงก์สิงคโปร์ เสียอีก ผมยังรู้จักกันดี กับ นายกฯ มหาธีร์ (มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย) เป็นเพื่อนของผมตั้งแต่สมัยนั้น
@ทำไมในช่วงนั้นไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ในการพลิกโฉมประเทศไทย เพราะถือได้ว่าเป็นคนมีความฉลาดล้ำยุค
เราเป็นนายแบงก์แต่เราไม่มีโอกาสที่จะเป็นคนกำหนดนโยบาย เราก็แสดงความคิดเห็นในรายงานประจำปีของเรามาเรื่อยๆ เพื่อให้รู้ว่าแนวนโยบายของรัฐที่จะส่งเสริมให้เอกชนก้าวหน้า เดินเอาชนะคนอื่นเขาได้เรื่อยไป เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แนวความคิดเกี่ยวกับนโยบายก็ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ในอำนาจบริหารของแผ่นดิน นั่นคือรัฐบาล รัฐเมื่อมีปัญหา ช่วยส่งเสริม ช่วยทำให้โอกาสดีกับเอกชนที่จะก้าวหน้าก็ไปได้ ตอนนั้นเราเป็นนายแบงก์ เราก็ได้แต่แสดงความคิดเห็น แต่ว่าในระหว่างที่เราคอยทำหน้าที่รวบรวมทุนมาใช้ประโยชน์กระจายไปให้ประชาชน ผมเป็นธนาคารแรกที่กระจายทุนให้กับเกษตร เป็นตัวอย่าง ธ.ก.ส.เอารูปแบบของผมไปทำ
สิ่งที่เราทำให้กับประเทศในระหว่างที่เป็นนายแบงก์คือพยายามที่จะรวบรวมทุนแล้วกระจายไปสู่ประชาชนในทางกว้าง ไม่ไปอยู่กับทุนใหญ่ๆ ทุนใหญ่ๆ ก็ไปเหมือนกันแต่ก็บังคับให้ไปอีกทางหนึ่งด้วย
@เมื่อท่านเขามาสู่การเมืองก็ยังไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่สิ่งที่จินตนาการไว้ได้
เริ่มต้นคุณคงจำได้ ได้ 18 เสียง ยังทำอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ได้เป็น รมว.คลังคนแรก ที่เป็นเอกชนหรือประชาชน นอกนั้นเป็นเจ้านายทั้งนั้น ตอนนั้นเราสร้างระบบที่เรียกว่าการคลังเพื่อประชาชน ไม่ใช่การคลังเพื่อคลัง คลังต้องรวย นั่นคือลักษณะของแนวความคิดและนโยบายของรัฐ คือตัวคลังจะต้องมีเงินมาก เก็บไว้มากมาย แต่เราต้องการเอาส่วนที่เก็บไว้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ เรียกว่าคลังเพื่อประชาชน
@ยุคของท่านธนาคารกรุงเทพใหญ่โตมาก แต่วันนี้สิงคโปร์เข้ามาเป็นเจ้าของแบงก์ในไทยเกือบหมดแล้ว
เดี๋ยวนี้เขาอ้าขา ผวาปีกหมด
@พูดได้หรือไม่ว่าเงินผันคือต้นแบบของเงินเอสเอ็มแอลและกองทุนหมู่บ้าน
ก็ทำนองนั้น จุดเริ่มต้นอยู่ที่เงินผันแล้วก็พัฒนาแล้วแต่ว่าใครจะไปบอกกับชาวบ้าน หรือไปหาเสียงกับชาวบ้านแบบไหน เรียกชื่อต่างๆ กันไป ประเด็นอยู่ที่ว่าสิ่งที่กำลังพัฒนาโดยการกระจายอำนาจลงไป ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางภาวะการทำกินของประชาชน มีการขยายตัวทางการผลิต ทำให้งบประมาณแผ่นดินขยายตัวมากขึ้น ในระหว่างการพัฒนาเหล่านี้มีนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายเข้ามาเกี่ยวพันกับการวางนโยบาย ซึ่งนโยบายอีกด้านหนึ่งคือการให้มีการจ้างงานมากขึ้น มีแรงงานมากขึ้น โดยส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมการผลิต มีการขยายตัวของการก่อสร้าง สาธารณูปโภค กระจายลงไปก็สร้างงานให้คนมากขึ้น
@ประชานิยมในยุคนี้กับในยุคเงินผันต่างกันอย่างไร พัฒนาได้ถึงราก ทำให้คนชั้นล่างยกระดับขึ้นมาหรือยัง
ถ้าไปได้รอดก็ได้ผล แต่นี่ไปสะดุด ครึ่งๆ กลางๆ เช่น พยายามเอาทุนให้เขาไปลงมือทำกิน แต่อุปสรรคในการทำกินไม่ได้แก้ให้เขา เงินที่ได้มาเพื่อที่จะไปลงทุนทำกิน ก็ได้ผลตอบแทนไม่พอ ก็เลยเหลือแต่หนี้สิน เป็นลักษณะของการทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นต้นว่า ตอนหลังให้เขาไปจดทะเบียนว่าเป็นหนี้นอกระบบคนละเท่าไหร่ นั่นแสดงความไม่รู้มาตั้งแต่ต้นว่าหนี้นอกระบบมีมากน้อยแค่ไหน ประชานิยมไม่มีใครที่ไม่ชอบ แต่ว่าประชานิยมอันนั้นช่วยให้ประชาชนได้รับประโยชน์ หรือได้รับผลที่เราประสงค์ได้ครบถ้วนหรือเปล่า
@มีความเข้าใจผิดเหมือนกันว่าเป็นการให้ฟรี
สมัยผมก็ให้ฟรี ให้นั่งรถไฟฟรีด้วย เรียนฟรี สมัยผมรักษาฟรีด้วยซ้ำไป ไม่ได้เอา 30 บาท แต่ให้เฉพาะคนจน แต่ยุคนี้กวาดไปหมด
@ถ้าจะพัฒนาประชานิยมให้เต็มรูปแบบ
ประชานิยมได้ผลแน่นอน เพราะว่าครั้งแรกที่ผมไปเป็นผู้แทน พรรคกิจสังคมได้มา 18 เสียง พอครั้งที่ 2 ได้เพิ่ม 48 เสียงเลย นั่นคือประชานิยม ที่ต้องการคือสิ่งที่เราทำนั้นปรากฏเห็นชัดแจ้ง เสียดายที่อาจารย์คึกฤทธิ์ท่านสอบตกเสียก่อน ทำให้ทำงานได้ไม่ต่อเนื่อง
@มองเรื่องทุนเก่า-ทุนใหม่ปะทะกันอย่างไร
ทุนใหม่ที่มาเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจแทนขึ้นมา มันไปเสียตรงที่ไม่ได้กระจาย แต่ไปกระจุกอยู่ที่ผู้ที่รวยก็รวยมากมายขึ้นไป ความร่ำรวยอันนี้เป็นผลทำให้คนกลุ่มนี้มีอำนาจ ทุนใหม่ที่เกิดขึ้นในระยะหลังถูกใช้ไปในทางที่ไม่ชอบ เขาบอกว่าเขาลงทุนเข้าสู่การเมือง
@มีคนเปรียบเทียบว่าเศรษฐีทุนเก่าดูจะมีวัฒนธรรมมากกว่าทุนใหม่
ไม่เชิง หมายความว่าทุนเก่าที่มีอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นทุนของคนที่อยู่ในวงธุรกิจ ส่วนใหญ่ทุนเก่าเป็นข้าราชการเป็นผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์ ย่อมจะมีความคิดความอ่านที่แตกต่างจากทุนใหม่
@อยากจะฝากอะไรกับนักการเมืองรุ่นใหม่
อย่าไปฝากเลย เดี๋ยวเขาหาว่าทะลึ่ง นักการเมืองทุกคนเขาถือตัว ฉันไม่ใช่คนย่อยๆ ต้องเข้าใจ ทุกคนมีความภูมิใจ มีอีโก้ของตัวเอง ตรงนี้เป็นปัญหา ทำให้ลืมตัวได้ง่ายๆ

เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 15.30 น. บุญชู ขอเวลาไปทำงานต่อ นักข่าวกราบลาท่านผู้อาวุโสวัย 86 ปี ก่อนจากลาท่านบุญชู หันมากระซิบว่า "วันหน้า เจอกันใหม่"


นำมาจาก วันที่ 08 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 12:58:32 น. จากประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1249650607&grpid=01&catid=00

***************************************************
เจ้าสัว ชาตรี โสภณพนิช ปธ.แบงก์กรุงเทพ เขียนถึง"ครู"คนแรกในอาชีพนายธนาคาร

"จะมีใครสักกี่คนที่เมื่อเข้าสู้สังเวียนการเมืองแล้ว ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น "ชาร์เศรษฐกิจ" ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักการเมืองมือสะอาด ที่มุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง" !!

เจ้าสัว ชาตรี โสภณพนิช
ประธานกรรมการ แบงก์กรุงเทพฯ
เขียนถึง ครูคนแรกในอาชีพนายธนาคาร
" คุณบุญชูบอกผมว่าคุณพ่อไม่อยู่ ผมควรจะมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ"

กล่าวกันว่า แบงก์กรุงเทพ ยืนหยัดและแข็งแกร่ง อยู่ได้ทุกวันนี้
เพราะบุคคล อย่างน้อย 2 คน
คนแรกคือ นายบุญชู โรจนเสถียร
คนที่สอง คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
นักเศรษฐศาสตร์การเมือง เชื่อว่า ถ้าไม่มีคนชื่อ บุญชู อาจไม่มีแบงก์กรุงเทพ ในวันนี้ !
วันที่ 28 พฤษภาคม 2552 เจ้าสัว ชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) นั่งลง จรดปากกาเขียนเรียงความเรื่อง " ครูคนแรกในอาชีพนักการธนาคารของผม"
เรียงความชิ้นนี้ ไม่ได้ส่งประกวดที่ไหน แต่เป็นเรียงความที่ตีพิมพ์ในหนังสืองานศพของครูผู้ยิ่งใหญ่
เป็นครั้งแรก ที่ เจ้าสัวชาตรี เล่าเรื่องแบงก์กรุงเทพ ในยุคจอมพลผ้าขาวม้าแดง ยุคที่นายห้างชิน ต้องสัญจรไปอยู่ฮ่องกง เพราะพิษการเมือง
เจ้าสัวชาตรี เล่าว่า คุณบุญชู โรจนเสถียร คือผู้ที่มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อธนาคารกรุงเทพ เพราะท่านเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากในการเข้ามาปฏิรูปธนาคาร ด้วยการริเริ่ม บุกเบิก สร้างสรรค์ พัฒนา และบริหารจัดการ ทำให้ธนาคารกรุงเทพมีความเจริญก้าวหน้า
ตลอดระยะเวลายาวนานเกือบ 30 ปี ท่านได้ทุ่มเทสติปัญญา ความรู้ความสามารถในฐานะนักบัญชีมืออาชีพ นำวิธีการวางแผนธุรกิจอย่างมีระบบ การวางระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพการขยายตัวด้วยการเพิ่มทุนจดทะเบียนอย่างรวดเร็ว และการริเริ่มเสนอบริการใหม่ๆ ที่มีความเจริญก้าวหน้าทันสมัยเข้ามาเสริมส่งให้ธนาคารกรุงเทพ มีความโดดเด่นในด้านการให้บริการทั้งสินเชื่อและเงินฝากประเภทต่างๆ
รวมทั้งการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนการกีฬาธนาคารจึงก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจการเงินการธนาคารได้อย่างเต็มภาคภูมิ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของธนาคารที่ท่านได้รับมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำรงตำแหน่งนี้ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2520 นั้น เพียงแต่ระยะเวลาไม่กี่ปีของการบริหารงาน
คุณบุญชูก็สามารถทำให้ธนาคารกรุงเทพเป็นธุรกิจเอกชนของคนไทยที่มีทุนจดทะเบียนสูงสุดในขณะนั้น และเป็นธนาคารที่สามารถอำนวยบริการด้านการเงินที่สมบูรณ์พร้อมสรรพ อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นปากเสียงสำคัญของภาคเอกชนจนคนทั่วไปยอมรับในศักยภาพนี้
เหนืออื่นใด ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณบุญชูที่ต้องการแสดงให้คนไทยเห็นว่าธนาคารกรุงเทพมีความเชื่อมั่นในเสถียภาพและอนาคตของประเทศไทย จังได้ตัดสินใจก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บนถนนสีลม นับเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของธนาคาร เนื่องจากอาคารหลังนี้มีความสูง 32 ชั้น สูงที่สุดเท่าที่มีการก่อสร้างมาในประเทศไทย ณ ขณะนั้น
อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้ไม่เพียงเป็นประจักษ์พยานแห่งความสำเร็จในการประกอบธุรกิจของธนาคารกรุงเทพ สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในขณะนั้น หากยังเปรียบเสมือนอนุสรณ์แห่งวิสัยทัศน์ และการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญของคุณบุญชูด้วย
คุณบุญชูเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง และต้องทำให้ดีที่สุด เมื่อมีชื่อเสียงโด่งดังและประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ความสามารถบริหารกิจการธนาคาร เป็นผู้นำทั้งด้านความคิดและการปฏิบัติขององค์กรธุรกิจ ที่ส่งผลให้ธนาคารกรุงเทพเติบโตก้าวหน้าเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของประเทศ รวมทั้งทัศนะที่เผยแพร่และแสดงออกต่อสาธารณชนในทุกโอกาส ในฐานะนายธนาคารที่ซื่อตรงต่อวิชาชีพ มุ่งหมายใช้วิชาความรู้เข้าแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แก้ไขสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นตามอัตภาพ คุณบุญชูจึงโดดเด่นเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งในภาคเอกชนและรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งสำหรับคุณบุญชูแล้ว นี่คืองานที่ท้าทายความสามารถเป็นอย่างยิ่ง
วันที่ 12 มีนาคม 2523 คุณบุญชูได้ขอลาออกจากตำแหน่งสูงสุดของการเป็น "นายธนาคารมืออาชีพ" ไปสู่เส้นทางสายใหม่ในฐานะ "นักการเมืองมืออาชีพ" ด้วยความตั้งใจที่จะทำงานรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างจริงจัง แต่ก็ยังคงมีความรักผูกพันและหวังดีกับธนาคารกรุงเทพเสมอมา เมื่อได้รับเชิญให้มากล่าวคำปราศรัยในโอกาสฉลองพิธีเปิดอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่บนถนนสีลมในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2525 คุณบุญชูจึงเลือกที่จะปราศรัยในหัวข้อ "อนาคตของธนาคารกรุงเทพฯ" ซึ่งกลายเป็นคำปราศรัยประวัติศาสตร์ที่สร้างความประทับใจให้กับชาวบัวหลวงทุกคน
ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคุณบุญชูกับผมนั้น ก็เป็นเรื่องที่ประทับอยู่ในความทรงจำเสมอ เพราะท่านเป็นผู้ที่ชักชวนผมให้มาทำงานที่ธนาคาร เนื่องจากปลายปี 2501 หลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติสำเร็จ และนายห้างชินคุณพ่อของผมตัดสินใจไปอยู่ฮ่องกงเพื่อให้ห่างไกลจากสถานการณ์บ้านเมือง
ขณะนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัทเอเชียทรัสต์ คุณบุญชูบอกผมว่าคุณพ่อไม่อยู่ ผมควรจะมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ท่านเห็นว่าผมมีความรู้ด้านการบัญชี จึงมาเริ่มต้นทำงานที่ฝ่ายการบัญชี ซึ่งเป็นหัวใจของงานธนาคาร ผมจึงมีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับท่านอยู่หลายปี เรียกว่าท่านเป็นครูสอนความรู้ให้ผมทุกอย่าง
"ผมเรียนวิชาทำงานแบงก์จากท่าน ซึ่งเป็นคนเจ้าระเบียบมีแบบแผน ทำงานอย่างมีระบบ ได้เรียนรู้เรื่องการบริหารงานภายในอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความรู้เหล่านี้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญให้กับผมในเวลาต่อมา"
ผมภูมิใจมากที่ครูคนแรกในอาชีพนักการธนาคารของผมเป็นคนดีที่ทุกคนเชิดชูยกย่อง เพราะจะมีใครสักกี่คนที่เมื่อเข้าสู้สังเวียนการเมืองแล้ว ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น "ชาร์เศรษฐกิจ" ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักการเมืองมือสะอาด ที่มุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อสังคมและประเทศชาติอย่างแท้จริง และเมื่อถึงคราววางมือทางการเมือง ท่านก็ละวางอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรีใช้ชีวิตอย่างสงบ หันมาทำ "ชีวาศรม" ที่หัวหิน และด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมของท่านชีวาศรมจึงมีชื่อเสียงในฐานะรีสอร์ทและสปาของประเทศไทยที่ดีที่สุดของโลก
ระยะหลังๆ แม้คุณบุญชูมีสุขภาพไม่แข็งแรง ท่านก็ยังคงระลึกถึงติดตามข่าวสารและให้ความเมตตาผมเสมอ เมื่อราวเดือนสิงหาคม 2549 ท่านทราบข่าวว่าผมได้รับเกียรติจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มอบปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ท่านก็ยังกรุณาส่งจดหมายมาแสดงความยินดีกับลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งหลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่เดือน ท่านก็ถึงแก่อนิจกรรม ข้อความตอนหนึ่งในจดหมายที่ผมขอนำมาเปิดเผยด้วยความซาบซึ้งใจก็คือ
"...การที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มอบปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่คุณชาตรี นอกจากเป็นเรื่องที่น่ายินดีและภูมิใจสำหรับคุณแล้ว ผมในฐานะศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก้พลอยยินดีกับคุณด้วย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งมากกว่า 70 ปี มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ การมอบปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตซึ่งเป็นระดับปริญญาเอก มิใช่เป็นเรื่องบุญวาสนาหรือโชคของผู้รับ หากหมายถึงผู้รับมีความรู้ความสามารถและมีความสำคัญเป็นที่ยกย่องในสังคมอย่างสูงด้วย ส่วนผมนอกจากเป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นธนาคารติดอันดับในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์และเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยด้วย..."
คุณบุญชูไม่เพียงเป็น "ครู" ของผมเท่านั้น แต่ท่านยังมีความตั้งใจที่จะเป็น "อาจารย์ใหญ่" จึงได้มอบร่างกายให้แก่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อประโยชน์ในการศึกษาทางการแพทย์ ซึ่งความตั้งใจนี้ได้บรรลุผลแล้วอย่างสมบูรณ์
คุณบุญชูจึงเป็นบุคคลผู้ยังประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งยามมีชีวิตและยามจากไป ด้วยอานิสงส์อันยิ่งใหญ่นี้ ย่อมน้อมนำให้ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณบุญชู โรจนเสถียรสถิตในสัมปรายภพตราบนิรันดร์

นำมาจาก วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 15:56:48 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1249981299&grpid=07&catid=00&sectionid=0225

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
     นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิและที่ปรึกษาอิสระ
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิสถาบันพระปกเกล้า
โทร 0818338505  email: drdanait@gmail.com