Thursday, December 30, 2010

การตลาดประเทศไทย 2554

 

เห็นตัวเลขการตลาดท่องเที่ยวประเทศไทย ปี 2554 แล้วน่าตี่นเต้นมา

.... สำหรับในปี 2554 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดมากระทบแล้ว ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องไปในปี 2554 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 16.33 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และก่อให้เกิดรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 555,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 .....(จาก K SME Analysis ) 
     แม้ว่าขัอมูลดังกล่าวจะเป็นการวิเคราะห์ ของธ.กสิกรไทยแต่มาจากตัวเลขของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ที่ประมาณการ จากกระทรวงท่องเที่ยว (จากการท่องเที่ยวแห่งประเทสไทยนั่นเอง)
....นายชุมพล ศิลปอาชา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าขณะนี้ได้รับรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยในปี 2552 มาแล้ว โดยรวมทุกด่านมีชาวต่าง
ชาติเดินทางเข้ามารวม 14,094,631 ล้านคนสร้างรายได้เข้าประเทศรวม 527,000ล้านบาท .....(จาก
http://www.oknation.net/blog/SIAM1932/2010/01/09/entry-1)

ผู้อ่านคิดว่าตัวเลชดังกล่าวมีความเป็นจริงได้แค่ไหนมากน้อยเท่าไหร่
 1.ข้อมูลจากรับบาลที่เพิ่งบอกเมื่อต้นปี 2553 ว่า  วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ 2554 มีวงเงิน 2.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2553 และเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน
  - รายจ่ายเพื่อการลงทุน 3.41 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 16.5% ของงบประมาณรวม และเพิ่มขึ้นจากปีงบ 2553 จำนวน 1.27 แสนล้านบาท (http://www.moneychannel.co.th/Menu6/HardTopics/tabid/109/newsid569/106784/Default.aspx)

   หากดู รายได้จากการท่องเที่ยว แต่ละปีไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท มากกว่ารายจ่ายเพื่อการลงทุนของประเทศทั้งปี เกื่อบเท่าตัว นั่นหมายความว่า การลงทุนในประเทศต้องมากกว่าที่รัฐบาลทำในด้าน
เศรษฐกิจ และเศรษฐกิจต้องดีกว่าปัจจุบันแน่นอน


 2. เราจะพบว่าคนไทยซึ่งได้เปลี่ยนแนวทางการท่องเที่ยวจาก เชียงใหม่ ไปที่อื่นซึ่งดีกว่าน่าสนใจกว่าและ ยังมีอะไรที่ไม่ได้เที่ยวอีกเยอะ เช่น ปากช่อง เขาใหญ่ วังน้ำเขียว น่าน แพร่  เพชรบูรณ์(เขาค้อ)
เลย (เชียงคาน) ในปีใหม่ปีนี้ 2554 จึงมีคนมากันมาก และที่สำคัญทางอีสาน อากาศตามยอดเขาหนาวสุด ๆ ได้บรรยากาศจริง ๆ

(บ้านน้ำเพียงดิน เขาค้อ) 
                                        

3.สิ่งที่น่าเสียดายและกำลังเกิดคือ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว ดำเนินรอยตาม วิธีการเดิม ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จแล้ว
  เช่น การสร้างรีสอร์ท ต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยไม่มีการควบคุมจาก ระดับท้องถิ่นเพราะคิดแต่รายได้อย่างเดียว
        การจัดร้านค้าชาวเขาขายของที่ระลึก และวิถีชาวเขา ตามจุดท่องเที่ยวต่าง กรณีของเขาค้อ หินร่องกล้า หรือ แหล่งท่องเที่ยวของ จ. เพชรบูรณ์ ทั้งหมด สินค้าที่ขายพวกของที่ระลึก ไม่มีความแตกต่าง พอซื้อที่แรก ไปทีจุดอื่น ๆ หรือ พอไปอีกที่ก็ซ้ำกัน (เชียงใหม่เป็นกรณีศึกษาที่ดีถึงความล้มเหลวในการลงทุนและการตลาด ของที่ระลึก เพราะเหมือนกันหมดจึงตายในที่สุด)
       ทำให้คิดว่าอาจมีนายทุนกลุ่มหนึ่ง จัดจ้างชาวเขามาขายของตามจุดต่าง ๆ และส่งสิ้นค้าให้  ทำให้ชาวเขาถูกจัดฉากขายของที่ระลึก และวิถีชาวเขา ซึ่งได้รับแต่ค่าจ้าง ไม่ใช่ของจริง


ดังนั้นหากต้องการทำการตลาดท่องเที่ยวจริง คงต้องคิดใหม่ ไม่ใช้วิธีเดิม ๆ
   เช่่น  # การท่องเที่ยวฯ ต้องคิดกลยุทธในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดท่องเที่ยวจาก นักท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ มากกว่าการเพิ่มงบประมาณจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม
          # และวิธีการทำงานเพียงการจ้างบริษัทท้องถิ่นทำการตลาดให้ประเทศไทย เพื่อให้คนของเขามาประเทศเรา ใครเขาจะทำให้ได้จริง ๆ  หรือ การใช้เงินจ้าง นสพ. (มาเที่ยวแล้วเขียนเชียร์ประเทศไทย)
ให้เขียนถึงประเทศไทย กับ การที่สื่อระดับโลกออกข่าว ด้านลบของประเทศโดยเฉพาะการเมือง และอาชญากรรม กับประเทศเพื่อนบ้านตีประเทศไทยด้านลบ งบการท่องเที่ยว 6 พันกว่าล้านก็สูญเปล่า
          # และการทำตลาดท่องเที่ยวในประเทศอยากให้ผู้ประกอบการอย่าเดินตามรอย เชียงใหม่  พัทยา ภูเก็ต (ยังพอไปได้แต่เป็นด้านอสังหาริมทรัพย์มากกว่าท่องเที่ยว)  เพราะหมดจุดขายไปนานแล้ว

ดร.ดนัย เทียนพุฒ
รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี 2552 ประเภทนักวิชาการและที่ปรึกษา
กรรมการผู้จัดการ
โทร 029301133