ความจริงเรื่องของการศึกษาโดยเฉพาะในยุคปฏิรูปการศึกษา เราทุกคนต่างสนใจกันทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะว่าเป็นสิ่งใกล้ตัว อาทิ
- อาจจะมีลูก-หลาน-พี่-น้อง เรียนหนังสืออยู่
- อาจจะมีเพื่อนเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่
- ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือในสถาบันการศึกษา
กระแสความสนใจของประชาชนอย่างพวกเราไม่ได้สนใจหรอบครับว่า ใครจะเป็น เสนาบดีว่าการด้านการศึกษา แต่สิ่งที่สนใจมากกว่านั้นคือ
(1) ทำไมคนส่วนใหญ่จึงคิดว่า การปฏิรูปการศึกษาที่ไปได้ล่าช้าหรือไม่ค่อยประสบความสำเร็จเป็นเพราะครูหรืออาจารย์ที่สอน หรือวิธีการสอนของครู
(2) ผู้เขียนอยากให้มองในมิติด้านอื่นของการปฏิรูปการศึกษาที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา เช่น
มี พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่
มีองค์กรทางการศึกษาเกิดขึ้นใหม่ตามกฏหมายการศึกษา
และความสำเร็จสุดท้ายคือ การวางกลยุทธทางการตลาดโดยเฉพาะ
หยิบยกการประชาสัมพันธ์โรงเรียนบางโรงเรียนที่เชื่อและทำตามหลักสูตรที่มีการปฏิรูปใหม่
แต่ยังไม่มีใครหยิบประเด็นต่อไปนี้มาพูดหรือหาทางแก้ไข หรืออาจจะพูดไม่ดังเท่ากับ สื่อและเอกสารที่เผยแพร่ออกมาจากองค์กรที่ทำหน้าที่ด้านการปฏิรูปการศึกษา จึงเกิดปัญหาทางการศึกษาในประเด็นต่อไปนี้
วิธีคิดของนักการศึกษาหรือผู้ที่ไปทำวิจัยการศึกษามาทั่วโลกแล้วนำผลการวิจัย เหล่านั้นมาปฏิรูปการศึกษา ซึ่งอาจจะเกิดสิ่งต่อไปนี้
- เหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่ ทั้งนี้สิ่งที่เกิดปัญหาและเห็นได้ชัดคือ วิธีการเรียน การสอนตามหลักสูตรปฏิรูปต่อไปนี้
ตัวอย่าง การแก้สมการของนักเรียนยุคปฏิรูป
โจทย์ ถ้า X + 3 = 8 ; X จะมีค่าเป็นเท่าใด
ก. X = 0
ข. X = 3
ค. X = 5
ง. X = -5
วิธีคิดของเด็กยุคปฏิวัติ (เพื่อนผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์โรงเรียนมัธยมโรงเรียน
ประจำจังหวัดแห่งหนึ่งเรียกว่า "Stupid Choice")
จะใช้วิธีการคิดโดยการนำคำตอบแต่ละข้อเข้าไปแทนค่า X ในสมการ
ดังนั้นจึงเป็นการแก้สมการแบบ "กล่อง"
ถ้า X + 3 = 8 คำตอบในข้อ ค. ที่เอา 5 เข้าไป แทน X
ก็จะได้คำตอบที่ 5 + 3 = 8
ปัญหาที่เกิดขึ้นจะโทษครูผู้สอน หรืออาจารย์ที่สอนก็ไม่ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหามาจาก
โรงเรียนให้นักเรียนมีชั่วโมงเรียนมากเกินไป เช่น วันละ 7-8 ชั่วโมง
เมื่อนักเรียนมีชั่วโมงเรียนมากในแต่ละวันทำให้ครูผู้สอนไม่มีเวลาใกล้ชิดกับ นักเรียน จึงให้การบ้าน (Homework) มากๆ เพื่อให้เด็กเกิดทักษะ
แต่นักเรียนทำไม่ได้เพราะยังไม่เข้าใจจากขั้นเรียนจึงไปเรียนพิเศษ ซึ่งอาจจะเป็นอาจารย์/ครูที่สอนมาเปิดสอนกวดวิชา
ดังนั้นอาจารย์/ครูที่ "วิก" หรือ "โรงเรียนกวดวิชา" จะสอนวิธีคิดแบบ "Stupid Choice" ให้กับเด็กนักเรียนโดยใช้วิธีตัดตัวเลือกที่ผิดออกไป และได้คำตอบที่ถูก จากตัวเลือกที่เป็นไปได้
ผลคือ สามารถทำข้อสอบหรือโจทย์ได้เร็วขึ้น นักเรียนชอบเพราะเป็นวิธีคิดที่รวดเร็ว
ทั้งหมดนี้เป็นการสนองตอบใคร คำตอบที่ไม่ต้องไปวิจัยเชิงลึกคือ
เด็กนักเรียนสามารถเรียนโดยไม่ต้องมีหลักการหรือแนวคิดในเรื่องนี้ แต่ทำข้อสอบได้โดยวิธีคิดแบบ "Stupid Choice" สนองตอบผู้ปกครองหรือพ่อแม่ที่คาดหวังว่าลูกต้องกวดวิชาแล้วมีเทคนิคพิเศษ ทำข้อสอบได้คะแนนดีๆ เมื่อไปสอบแข่งขันหรือเอ็นทรานซ์จะสอบเข้าได้
นี่ล่ะครับ! สิ่งใหม่ที่เกิดในระบบปฏิรูปการศึกษา เป็นการเรียนเพื่อทำข้อสอบให้ได้และเรียนต่อ แต่จะรู้จริงมากน้อยแค่ไหนไม่รู้
สำหรับการศึกษาในมิติใหม่ เราไม่ต้องการให้เด็กเพียงแค่มุ่งเรียนต่อ แต่เราต้องการ มากกว่านั้นคือ การมีวิธีการคิดอย่างเป็นระบบ คิดเชิงอนาคตที่จะก้าวสู่การเป็นนักนวัตกร มีความซาบซึ้งเข้าใจในศิลปวัฒนธรรมและโดยเฉพาะความแตกฉานในพุทธศาสนาจนสามารถ นำหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ในพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในการทำงานจนเห็นได้อย่างทะลุแจ้งแทงตลอดถึงธรรมชาติของสรรพสิ่ง เข้าใจตัวตนในตนเองจะได้ไม่หลงไปกับ
การโฆษณาชวนเชื่อในลัทธิและนิกายหรือไสยศาสตร์ที่แวดล้อมในทุกสัมผัส
สุดท้ายแล้วเราคงได้เห็นความเป็นไทย และคนไทยธุรกิจไทยจะได้ล่องลอยไปตามฝันสู่ความสำเร็จในเวทีโลกตามที่รัฐบาลได้พยายามวาดฝันเอาไว้ โดยที่เราท่านสามารถชักหน้าได้ถึงหลัง
ดร.ดนัย เทียนพุฒ
Dr.Danai Thieanphut
DNT Consultants
No comments:
Post a Comment