สิ่งที่เป็นปัญหาของหลายๆ ประเทศคือ คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน มักจะกลัวว่าเมื่อมีการยอมรับและเปิดไปสู่โลกาภิวัฒน์มากๆ จะทำให้เกิดผลดังนี้
-การสูญเสียค่านิยม วัฒนธรรมหรือประเพณีอันดีงามของชาตินั้นๆ ไป
-ธุรกิจภายในประเทศจะไม่สามารถต่อสู้หรือแข่งขันกับธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติได้
-ภาษาประจำชาติจะถูกกลืนหรือละเลยไปสนใจแต่ภาษาอังกฤษ ภาษาคอมพิวเตอร์ หรือ Short Messages
ประเด็นเหล่านี้ผู้บริหารประเทศหรือผู้บริหารธุรกิจต้องให้ความสำคัญและความสนใจมากเป็นพิเศษ
ความจริงที่ 1 ของประเทศ
ผู้เขียนมีความเห็นว่าในเรื่องของการแข่งขัน หรือการเปิดรับให้มีธุรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้ามาลงทุนหรือค้าขายในบ้านเรา จำเป็นจะต้อง
# มีการปกป้องและคุ้มครองธุรกิจในประเทศให้สามารถแข่งขันและต่อสู้กับธุรกิจข้ามชาติได้ มิฉะนั้นธุรกิจในประเทศก็จะล้มหายไปจนกระทั่งไม่เหลือเลย
# ขณะเดียวกันก็ต้องมีสิ่งจูงใจให้ธุรกิจข้ามชาติสนใจที่จะก้าวเข้ามาลงทุน แต่อยู่ในกรอบที่เป็นแบบ WIN-WIN
# เรื่องของภาษาประจำชาติ ค่านิยม วัฒนธรรม ผู้เขียนมีความเห็นว่า การบำรุงรักษาเป็นความจำเป็นแต่จะต้องไม่โอเวอร์จนกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงความเจริญหรือพัฒนาการของประเทศ มิฉะนั้นประเทศก็คงไม่สามารถออกไปแข่งขันในเวทีโลกที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาได้
# ผู้เขียนเคยอ่านรายงานผลการจัดประชุมสัมมนา "ซีอีโอ ไอซีที ฟอรัม" โดยเนคเทค (อ้างจากประชาชาติธุรกิจ ฉ.วันจันทร์ที่ 16-พุธที่ 18 ธ.ค.45 หน้า 32) สรุปว่า
- อุปสรรคเรื่องความพร้อมของวิศวกรภาคไอทีที่ยังมีจำนวนน้อย รวมทั้งมีความรู้ความสามารถในเชิงเทคนิคไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมทั้งปัญหาการสื่อสารภาษาอังกฤษ
- ปัญหาด้านภาษาและความรู้พื้นฐานเชิงเทคนิคนับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเบนความสนใจไปที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์และฟิลิปปินส์แทน
- บทบาทของเนคเทคจะต้องหันไปมุ่งเน้นการวิจัยพัฒนาสำหรับภาคอุตสาหกรรมในเชิงพาณิชย์ เนคเทคควรมีวิธีคิดแนวใหม่ เช่น ควรผลักดันให้รัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนกับบริษัทเอกชน หรือบริษัทต่างชาติในการทำวิจัยพัฒนา ไม่ใช่ส่งเสริมเฉพาะ การลงทุนตั้งโรงงานเท่านั้น
แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาให้คนในชาติ หรือธุรกิจไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกธุรกิจ ในโลกยุคโลกาภิวัตน์จะคงมีหลายๆ สิ่งที่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาครัฐบาลจะต้อง "คิดใหม่ ทบทวนใหม่" อีกหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะ "การนิยมไทยกับการจะไปสู่อินเตอร์"
ความจริงที่ 2 ของประเทศเพื่อนบ้าน
ข่าวคราวของการพัมนาประเทศมาเลเซียโดยเฉพาะในวิธีการพัฒนาประเทศหรือ การแก้ไขในช่วงเศรษฐกิจวิกฤต ซึ่งดำเนินนโยบายที่แตกต่างกับประเทศไทย อินโดนีเซียและ เกาหลีใต้ก็คือ มาเลเซียไม่ยอมรับการช่วยเหลือจาก IMF ทำให้มาเลเซียมีอิสระทางการเงิน มากกว่าและไม่ต้องออกกฎหมายเพื่อปกป้องนักลงทุนจากต่างชาติเท่ากับประเทศที่ขอรับความช่วยเหลือจาก IMF
ขณะเดียวกัน ประเทศมาเลเซียได้ประกาศนโยบายมาได้ หลาย ปีแล้วที่จะใช้ภาษาอังกฤษให้เป็นภาษากลางของประเทศ
ปัจจุบันมาเลเซียเอาจริงขึ้นไปอีกโดยเมื่อ ปี(2546)ที่ผ่านมาแล้ว ในการเรียนการสอนของระดับประถมศึกษา (1-6)
"….. จะต้องใช้ภาษาอังกฤษสอนในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์…"
ดร.มหาเธร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียกล่าวในขณะนั้นว่า สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับการยอมรับในภาษาอังกฤษ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ทั้งหมดแต่อย่างน้อยที่สุด คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นกุญแจไขไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่
เราไม่มีทางเลือก ซึ่งเราต้องทำการเปลี่ยนแปลง เราต้องทำในสิ่งนี้เพราะว่าคนของเรายังมีการศึกษาไม่มากนัก มิฉะนั้นนโยบายทั้งหมดของเราก็จะล้มเหลว
รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการสอนภาษากลางจากภาษา Bahasa Malaysia เมื่อ 1 ทศวรรษมาแล้ว
แม้ว่าเราจะเป็นชาตินิยม แต่เราก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงโดยหวังว่า โรงเรียนเปลี่ยนไปสอนภาษาอังกฤษก็จะนำเราไปสู่โรงเรียนระดับนานาชาติแล้วก็จะดึงดูดนักเรียนนานาชาติ ได้ด้วย (อ้างจาก New Straits Times : Friday, October 11, 2002 P.2)
สุดท้ายแล้วจะมีการใช้ภาษาอังกฤษในมาตรฐานที่สูงขึ้นเพราะจะมีการสอน ทุกวิชาในทุกโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า เรามีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ
NCWO (The National Council of Women Organizations) ให้การสนับสนุนนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล โดย
- เห็นว่าการใช้ภาษาอังกฤษในการสอนทั้ง 2 วิชา ควรที่จะครอบคลุมนักเรียนระดับมัธยมศึกษาด้วย
- โรงเรียนทั้งหมดควรแลกเปลี่ยนหลักสูตรในวิชาที่มีการสอนเหมือนกัน
(อ้างจาก New Strait Times : Thursday, October 3, 2002 P.2)
รัฐมนตรีด้านการศึกษาสรุปว่า จะมีการอบรมครู 192,000 คนเพื่อสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษในช่วงระยะเวลา 6 ปี โดยสิ้นปี'45 มีจำนวน 27,000 คน ปี'46 มีจำนวน 46,000 คน ปี'47 จำนวน 23,000 คน ปี'48 จำนวน 38,000 คน ปี;49 จำนวน 38,000 คนและปี'50 จำนวน 20,000 คน
โดยในปี'50 เมื่อมีการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เต็มระบบทุกระดับชั้น จะมีครูทั้ง 2 วิชาอย่างเพียงพอ (อ้างจาก New Strait Times : Wednesday, October 23, 2002 P.9)
สิ่งที่ผู้เขียนหยิบยกกรณีการปรับระบบการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษของประเทศมาเลเซียมาก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ในยุคของ IT และ โลกาภิวัตน์ ประสิทธิภาพของธุรกิจอยู่ที่รากฐานของการเรียนรู้ใน 2 วิชานี้และต้องเรียนแบบอินเตอร์ ธุรกิจจึงจะโกอินเตอร์ จะน่ากลัวมากเลยถ้าประเทศมาเลเซียทำสำเร็จในระยะเวลา ไม่เกิน 1 ทศวรรษนี้
ดร.ดนัย เทียนพุฒ
Dr.Danai Thieanphut
DNT Consultants
No comments:
Post a Comment